ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 1-2 พ.ค.เมื่อวานนี้ โดยระบุว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในเร็วๆนี้ หากแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐมีความสอดคล้องกับการคาดการณ์ของเฟด
"กรรมการเฟดส่วนใหญ่มองว่า หากข้อมูลที่เฟดจะได้รับในเร็วๆนี้มีความสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่เฟดคาดการณ์ไว้ในปัจจุบัน ก็ถือว่าเป็นเรื่องเหมาะสมที่คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) จะก้าวเข้าสู่อีกขั้นตอนหนึ่งของการยกเลิกนโยบายผ่อนคลายทางการเงิน" รายงานการประชุมระบุ
ข้อมูลที่บ่งชี้ถึงการเพิ่มขึ้นของตัวเลขเงินเฟ้อในช่วงที่ผ่านมานั้น ทำให้กรรมการเฟดมั่นใจว่า อัตราเงินเฟ้อจะดีดตัวขึ้นสู่ระดับเป้าหมายที่ 2% โดยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พุ่งขึ้น 2.0% ในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.ปีที่แล้ว และสอดคล้องกับเป้าหมายเงินเฟ้อของเฟดที่ระดับ 2%
ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญนั้น พุ่งขึ้น 1.9% ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.ปีที่แล้ว
"กรรมการเฟดส่วนใหญ่มองว่า ตัวเลขเงินเฟ้อที่ดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงที่ผ่านมานั้น ถือเป็นข้อมูลที่ทำให้มั่นใจในระดับหนึ่งว่า อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในทิศทางที่จะปรับตัวขึ้นสู่เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2% ขณะที่กรรมการเฟดหลายคนได้แสดงความเห็นว่า ตัวเลขค่าจ้างที่มีการเปิดเผยในช่วงที่ผ่านมานั้น บ่งชี้ว่าตลาดแรงงานของสหรัฐยังไม่ได้อยู่ในภาวะที่ร้อนแรงจนเกินไป"
รายงานการประชุมยังระบุด้วยว่า กรรมการเฟดได้หารือกันเกี่ยวกับความเสี่ยงต่างๆที่จะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงภาวะการขยายตัวที่ร้อนแรงเกินไป ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลกระทบจากการกระตุ้นทางการคลัง และความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐ โดยกรรมการเฟดหลายคนมองว่า มาตรการการค้าที่สหรัฐนำมาใช้ และมาตรการที่ประเทศคู่ค้าของสหรัฐจะใช้ตอบโต้นั้น จะมีผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของสหรัฐด้วยเช่นกัน ขณะที่กรรมการเฟดบางคนได้แสดงความเห็นว่า ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับประเด็นการค้านั้น อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและการใช้จ่ายของภาคธุรกิจ
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ในการประชุมซึ่งมีขึ้นเมื่อวันที่ 1-2 พ.ค.ที่ผ่านมานั้น ที่ประชุมเฟดมีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น ที่ระดับ 1.50-1.75% ตามที่ตลาดการเงินคาดการณ์ไว้ ส่วนการประชุมเฟดครั้งต่อไปจะมีขึ้นในวันที่ 12-13 มิ.ย.นี้