นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยในระหว่างการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า เฟดจะไม่ใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจในอนาคต โดยระบุว่าเฟดเคยพิจารณาเรื่องดังกล่าวในช่วงที่เกิดวิกฤตการเงินปี 2551
"อัตราดอกเบี้ยติดลบเป็นสิ่งที่เราเคยพิจารณาในช่วงที่เกิดวิกฤตการเงิน และเลือกที่จะไม่ใช้" นายพาวเวลเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวในการแถลงข่าวในช่วงบ่ายวันพุธตามเวลาสหรัฐ
"หลังจากที่เศรษฐกิจชะลอตัวลง เราเลือกที่จะดำเนินการตามมาตรการชี้นำล่วงหน้า (Forward Guidance) แบบเชิงรุก และเข้าซื้อสินทรัพย์จำนวนมาก และนั่นเป็นเครื่องมือนโยบายการเงินพิเศษ 2 ประการที่เราใช้อย่างกว้างขวาง" นายพาวเวลล์กล่าว โดยระบุว่า เครื่องมือดังกล่าวทำงานได้ค่อนข้างดี
"ผมไม่คิดว่า เราจะใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบ ผมไม่คิดว่านั่นจะอยู่ในอันดับสูงสุดในรายการนโยบายทางเลือกของเรา" นายพาวเวลระบุ
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เฟดได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 1.75-2.00% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ท่ามกลางความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากความตึงเครียดทางการค้าและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก หลังจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ค.ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปี
ทั้งนี้ การแสดงความเห็นของนายพาวเวลตรงข้ามกับเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางคนอื่นๆ อาทิ นายมาริโอ ดรากี ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งบ่งชี้ถึงมาตรการผ่อนคลายในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงอัตราดอกเบี้ยติดลบว่า เป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพ ไม่ใช่แค่เพียงในระยะสั้นเท่านั้น แต่ยังมีประสิทธิภาพในระยะยาวด้วย
ทางด้านนายเดวิด มัลพาส ประธานธนาคารโลกได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนต่ำ และ "เงินทุนแช่แข็ง (frozen capital)" โดยระบุว่าพันธบัตรมูลค่ากว่า 15 ล้านล้านดอลลาร์นั้น มีอัตราผลตอบแทนเป็นศูนย์หรือติดลบ