คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้เปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือนก.ย.เมื่อวานนี้ตามเวลาสหรัฐ โดยระบุว่า กรรมการเฟดส่วนใหญ่เห็นพ้องถึงความจำเป็นในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลง 0.25% สู่ระดับ 1.75-2.00% ในการประชุมซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 17-18 ก.ย.ที่ผ่านมา และยังเล็งเห็นถึงความจำเป็นในการหารือกันในเร็วๆนี้ว่า เฟดควรจะเพิ่มขนาดของงบดุลหรือไม่
"กรรมการเฟดส่วนใหญ่เชื่อว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ถือเป็นการดำเนินการที่เหมาะสม" รายงานการประชุมระบุ
รายงานยังเปิดเผยว่า กรรมการเฟดได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจในสหรัฐ โดยระบุว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจเผชิญกับความเสี่ยงขาลงมากขึ้นนับตั้งแต่ที่เฟดจัดการประชุมในเดือนก.ค. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเสี่ยงที่เป็นผลมาจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าและภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก
ขณะเดียวกันกรรมการเฟดยังได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยกรรมการเฟดหลายคนมองว่า โอกาสที่เศรษฐกิจจะเผชิญกับภาวะถดถอยนั้น ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
ในการประชุมครั้งนี้ กรรมการเฟดได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในปีนี้ สู่ระดับ 2.2% จากระดับ 2.1% ที่คาดการณ์ในเดือนมิ.ย. และคงตัวเลขคาดการณ์ในปีหน้าที่ระดับ 2.0% ส่วนในปี 2564 นั้น เฟดคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวที่ระดับ 1.9% และคาดการณ์อัตราการขยายตัวในปี 2565 ที่ระดับ 1.8%
อย่างไรก็ดี รายงานการประชุมระบุว่า กรรมการเฟดกังวลว่าการลงทุนทางธุรกิจที่ซบเซาและภาวะชะลอตัวที่เกิดขึ้นในภาคการผลิตนับตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ อาจทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลงมากกว่าที่เฟดคาดการณ์ไว้ ขณะที่กรรมการเฟดบางคนเตือนว่า ภาวะซบเซาในภาคการผลิตและการส่งออกอาจมีผลต่อการตัดสินใจในการจ้างงานของบรรดานายจ้าง ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็อาจจะส่งผลกระทบต่อรายได้และการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน
นอกจากนี้ ในการประชุมเมื่อวันที่ 17-18 ก.ย.ที่ผ่านมานั้น กรรมการเฟดยังเสียงแตกเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยในอนาคต โดยในบรรดากรรมการเฟดทั้ง 17 รายนั้น มี 5 รายเห็นว่า เฟดควรคงอัตราดอกเบี้ยถึงสิ้นปีนี้ ขณะที่มีกรรมการ 7 รายต้องการให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 1 ครั้งก่อนสิ้นปีนี้ และอีก 5 รายสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1 ครั้งก่อนสิ้นปีนี้