นิตยสารการเงิน Yicai ของจีนรายงานในวันนี้ว่า นายเชง ซ่งเฉิง ที่ปรึกษาธนาคารกลางจีน (PBOC) เปิดเผยว่า กรรมการ PBOC ควรดำเนินนโยบายการคลังเชิงรุก และปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ นายเชงเปิดเผยว่า เนื่องจากจีนไม่ได้เผชิญกับแรงกดดันจากภาวะเงินฝืดเช่นเดียวกับในต่างประเทศ ดังนั้นมาตรการด้านนโยบายการคลังควรได้รับการพิจารณาเป็นอันดับแรก ขณะที่นโยบายการเงินจะมีบทบาทสนับสนุน
นายเชงแสดงความคิดเห็นดังกล่าว ขณะที่มีการถกเถียงกันมากขึ้นในแวดวงตลาดการเงินว่า จีนกำลังดำเนินการอย่างรวดเร็วและมีกำลังเพียงพอหรือไม่ที่จะป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างรุนแรง
การขยายตัวทางเศรษฐกิจจีนได้ชะลอลงใกล้ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 30 ปี และมีแนวโน้มว่าจะร่วงลงต่ำกว่า 6% ในขณะที่การลดลงของราคาโรงงานรุนแรงมากขึ้น ซึ่งอาจกดดันผลกำไรในภาคอุตสาหกรรม, การลงทุน และการจ้างงานต่อไป
อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อจากราคาผู้บริโภคได้ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบเกือบ 8 ปีที่ 3.8% เมื่อเร็วๆนี้ และผู้กำหนดนโยบายยังคงกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านหนี้สินที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้เกิดสภาวะที่ยากลำบากในการดำเนินนโยบายของ PBOC
นายเชงกล่าวว่า การพุ่งขึ้นของราคาเนื้อหมูเมื่อเร็วๆ นี้ ได้สกัดกั้นนโยบายการเงินอย่างแน่นอน แต่เงินเฟ้อพื้นฐาน และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ยังคงมีแนวโน้มลดลง
เขากล่าวว่า ด้วยเหตุนี้จึงยังไม่ควรใช้นโยบายการเงินอย่างมาก แต่ยังมีความจำเป็นในการปรับโครงสร้าง
นายเชงกล่าวว่า ผู้กำหนดนโยบายควรดำเนินมาตรการทางการคลังเป็นอันดับแรก รวมถึงการออกพันธบัตรรัฐบาลท้องถิ่นเพื่อสนับสนุนโครงการโครงสร้างพื้นฐาน และลดภาษีและค่าธรรมเนียมลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ผลักดันมาเป็นเวลา 2 ปีแล้ว