ราคาทองฟิวเจอร์ดีดตัวขึ้นเกือบ 1% ทะลุระดับ 4,200 ดอลลาร์ ขณะที่นักลงทุนพากันเข้าซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าครั้งใหม่ระหว่างสหรัฐและจีน
นอกจากนี้ ราคาทองยังได้รับแรงหนุนจากคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนต.ค.และธ.ค.
ณ เวลา 22.46 น.ตามเวลาไทย สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. บวก 40.40 ดอลลาร์ หรือ 0.80% สู่ระดับ 4,203.80 ดอลลาร์/ออนซ์
ราคาทองทะยานขึ้นเกือบ 58% นับตั้งแต่ต้นปีนี้ หลังจากพุ่งขึ้น 27% ในปีที่แล้ว โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย การเข้าซื้อทองของธนาคารกลาง อุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นในกองทุน ETF ทอง รวมทั้งความกังวลต่อความไม่แน่นอนทางด้านเศรษฐกิจและด้านภูมิรัฐศาสตร์
ทั้งนี้ ทองคำถือเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุดในปีนี้ โดยแซงหน้าการลงทุนในหุ้นและบิตคอยน์ ขณะที่ดอลลาร์สหรัฐและน้ำมันดิบต่างปรับตัวลงนับตั้งแต่ต้นปี 2568
นักวิเคราะห์จาก Bank of America และ Societe Generale ต่างคาดการณ์ว่า ราคาทองจะทะยานแตะ 5,000 ดอลลาร์/ออนซ์ในปี 2569
นักลงทุนจับตาการประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ที่มีกำหนดจัดขึ้นนอกรอบการประชุมสุดยอดกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือเอเปก (APEC) ที่เมืองคยองจู ประเทศเกาหลีใต้
เจพีมอร์แกน เชส ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐ ออกรายงานคาดการณ์ว่า ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนจะผ่อนคลายลงในการประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำทั้งสอง
'เรายังคงคาดว่าประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จะพบปะกันในการประชุม APEC ซึ่งจะจัดขึ้นที่เกาหลีใต้ ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม ถึง 1 พฤศจิกายน ซึ่งผลลัพธ์ที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ สหรัฐจะไม่เรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มอีก 100% ต่อจีน หรืออย่างน้อยสิ่งนี้จะยังไม่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง และการตั้งข้อจำกัดด้านการส่งออกของทั้งสองฝ่ายจะถูกผ่อนคลายลงมากพอที่จะไม่กลายเป็นการห้ามส่งออกโดยสิ้นเชิง'
'อย่างไรก็ดี ในระหว่างนี้จนถึงวันประชุมดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายอาจยังมีการยกระดับความตึงเครียดเพิ่มเติม และไม่ใช่ทุกประเด็นที่จะได้รับการแก้ไขในการประชุมสุดยอดที่เกาหลีใต้' นายอาเบียล ไรน์ฮาร์ต นักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกน ระบุในรายงาน
นายไรน์ฮาร์ตยังเตือนว่า 'หากไม่มีการบรรลุข้อตกลงพักรบทางการค้าชั่วคราว และมีการบังคับใช้มาตรการขึ้นภาษีศุลกากร 100% ต่อจีน ผลลัพธ์จะเท่ากับการห้ามส่งออกสินค้าจากจีนมายังสหรัฐโดยปริยาย ส่งผลให้การผลิตในภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐหยุดชะงัก ทำให้สหรัฐจะทำการตอบโต้เพื่อขัดขวางการพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีน และอาจทำให้สหรัฐจำกัดการส่งออกสินค้าประเภทอื่น ๆ ไปยังจีนด้วย'