ราคาทองฟิวเจอร์และสปอตพลิกดิ่งลงหลุดระดับ 4,300 ดอลลาร์ ขณะที่นักลงทุนพากันเทขายทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย หลังคลายความวิตกเกี่ยวกับปัญหาหนี้เสียของธนาคารในระดับภูมิภาคของสหรัฐ
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาจากปัจจัยทางเทคนิค ดัชนี RSI ของทองได้พุ่งแตะระดับ 88 ซึ่งบ่งชี้ว่าทองกำลังอยู่ในภาวะมีแรงซื้อมากเกินไป
ณ เวลา 21.51 น.ตามเวลาไทย ราคาทองสปอต ลบ 36.16 ดอลลาร์ หรือ 0.84% สู่ระดับ 4,253.98 ดอลลาร์/ออนซ์
ส่วนสัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลบ 27.40 ดอลลาร์ หรือ 0.64% สู่ระดับ 4,277.40 ดอลลาร์/ออนซ์
นายมาร์ก ปินโต หัวหน้าฝ่ายสินเชื่อภาคเอกชนระดับโลกของมูดี้ส์ เรทติ้งส์ สถาบันจัดอันดับความเชื่อถือระหว่างประเทศ ระบุว่า แม้มีความกังวลเกี่ยวกับหนี้เสียในกลุ่มธนาคารขนาดกลางของสหรัฐ แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานบ่งชี้ถึงปัญหาในเชิงระบบ
นายปินโตกล่าวว่า แม้มีความวิตกเกี่ยวกับมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อที่หย่อนยาน และเงื่อนไขการให้กู้ยืมที่ผ่อนคลายเกินไปของธนาคารบางแห่ง แต่เมื่อพิจารณาภาพรวมของระบบการเงินโดยรวมของสหรัฐแล้ว ยังไม่พบสัญญาณของการลุกลามของปัญหาที่อาจนำไปสู่วิกฤตการเงินครั้งใหญ่
ส่วนนายอดัม คริซาฟูลลี จากบริษัท Vital Knowledge ระบุในรายงานว่า 'เราไม่คิดว่าภาคธนาคารสหรัฐเกิดปัญหาสินเชื่อในเชิงระบบ สิ่งที่เราเห็นอยู่ในขณะนี้ส่วนใหญ่เป็นกรณีเฉพาะธนาคารบางแห่ง ขณะที่คุณภาพสินเชื่อโดยรวมยังคงอยู่ในระดับดีกว่าที่คาดไว้'
ราคาทองพุ่งขึ้นในช่วงแรก โดยราคาทองฟิวเจอร์และสปอตต่างทะลุระดับ 4,300 ดอลลาร์ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ ขณะที่นักลงทุนพากันเข้าซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมทั้งการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐ หรือชัตดาวน์ และความกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้เสียของธนาคารในระดับภูมิภาคของสหรัฐ
นอกจากนี้ ราคาทองยังได้แรงหนุนจากคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังคงเดินหน้าใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน โดยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้
กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เพิ่มการถือครองทองสู่ระดับ 1,034.62 ตันเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.2565
ราคาทองพุ่งขึ้นราว 8.1% ในสัปดาห์นี้ และมีแนวโน้มทำสถิติปรับตัวขึ้นมากที่สุดเทียบรายสัปดาห์นับตั้งแต่เดือนกันยายน 2551 ซึ่งขณะนั้นเป็นช่วงการล่มสลายของบริษัทเลห์แมน บราเธอร์ ซึ่งจุดชนวนให้เกิดวิกฤตการเงินทั่วโลก
ราคาทองทะยานขึ้น 66% นับตั้งแต่ต้นปีนี้ หลังจากพุ่งขึ้น 27% ในปีที่แล้ว ส่งผลให้ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนในปีนี้มากกว่าการลงทุนในหุ้น บิตคอยน์ น้ำมัน และดอลลาร์สหรัฐ โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย การเข้าซื้อทองของธนาคารกลาง อุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นในกองทุน ETF รวมทั้งความกังวลต่อความไม่แน่นอนทางด้านเศรษฐกิจและด้านภูมิรัฐศาสตร์
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ระบุว่า ความวิตกของนักลงทุนต่อการพลาดโอกาส หรือตกขบวน (fear of missing out) หรือ FOMO ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่หนุนราคาทองในตลาด