ราคาทองฟิวเจอร์ดีดตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดพุ่งขึ้นกว่า 1% ทะลุระดับ 4,180 ดอลลาร์ โดยได้แรงหนุนจากคาดการณ์ที่ว่า สหรัฐใกล้ยุติภาวะปิดหน่วยงานรัฐบาล หรือชัตดาวน์ ซึ่งจะทำให้มีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจ ก่อนการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในเดือนธ.ค. ซึ่งคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมดังกล่าว
ณ เวลา 22.46 น.ตามเวลาไทย สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. บวก 68.40 ดอลลาร์ หรือ 1.60% สู่ระดับ 4,184.70 ดอลลาร์/ออนซ์
นักวิเคราะห์จากเจพี มอร์แกน เชส ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐ คาดการณ์ว่า ราคาทองจะพุ่งทะลุ 5,000 ดอลลาร์/ออนซ์ภายในไตรมาส 4 ของปี 2569 โดยได้แรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางและผู้บริโภคเป็นผู้ซื้อสำคัญในช่วงที่ราคาทองอ่อนตัวลง
ส่วนธนาคาร ANZ ระบุในรายงานว่า ราคาทองคำได้ทะลุผ่านแนวต้านที่ระดับ 4,050 ดอลลาร์/ออนซ์ ทำให้มีแนวต้านถัดไปที่ระดับ 4,160-4,170 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งหากราคาทองทะลุผ่านช่วงนี้ได้ ก็จะมีโอกาสพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4,381 ดอลลาร์/ออนซ์
ราคาทองพุ่งขึ้นมากกว่า 57% นับตั้งแต่ต้นปี 2568 โดยแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4,381.21 ดอลลาร์/ออนซ์เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ส่งผลให้ทองเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนในปีนี้มากกว่าการลงทุนในหุ้น บิตคอยน์ น้ำมัน และดอลลาร์สหรัฐ โดยได้ปัจจัยบวกจากความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ ความกังวลทางเศรษฐกิจ นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และแนวโน้มการลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์ รวมทั้งการไหลเข้าของเงินลงทุนเข้าสู่กองทุน ETF ทอง
สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐจะกลับมาเปิดสมัยประชุมในวันนี้ หลังจากพักการประชุมนานถึง 54 วัน โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีกำหนดพิจารณาร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวเพื่อที่จะยุติการชัตดาวน์ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ
ทั้งนี้ สภาผู้แทนราษฎรมีกำหนดลงมติต่อร่างกฎหมายดังกล่าวในวันนี้ (12 พ.ย.) เวลา 16.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือตรงกับวันพรุ่งนี้ (13 พ.ย.) เวลา 04.00 น.ตามเวลาไทย
ร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว ผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ด้วยคะแนนเสียง 60-40 โดยได้รับเสียงสนับสนุนจากพรรคเดโมแครตจำนวน 8 เสียง
สำหรับในสภาผู้แทนราษฎร พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากด้วยคะแนนเสียง 219-213 ทำให้คาดว่าสภาผู้แทนราษฎรจะอนุมัติร่างกฎหมายดังกล่าวด้วยคะแนนฉิวเฉียด ทำให้การต่อสู้ของพรรครีพับลิกันและเดโมแครตในสภาผู้แทนราษฎรมีแนวโน้มที่จะเป็นไปอย่างดุเดือดและตึงเครียด
นายไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกัน กล่าวว่า เขาต้องการให้ร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวผ่านสภาผู้แทนราษฎรอย่างเร็วที่สุดในวันนี้
'ร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นสิ่งที่ควรเกิดขึ้นมานานแล้ว และยืนยันจุดยืนของเรามาโดยตลอด ผมขอวิงวอนต่อเพื่อนสมาชิกทุกคนในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งรวมถึงสมาชิกพรรคเดโมแครตทุกคน โปรดคิดให้รอบคอบ สวดภาวนา และสุดท้ายทำในสิ่งที่ถูกต้อง'
นอกจากนี้ สมาชิกพรรครีพับลิกันหลายรายต่างกล่าวสนับสนุนร่างกฎหมายฉบับนี้ โดยให้เหตุผลว่าจำเป็นต้องให้หน่วยงานรัฐบาลกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง และป้องกันภาวะชะงักงันในการให้บริการของภาครัฐ
อย่างไรก็ดี นายฮาคีม เจฟฟรีส์ แกนนำพรรคเดโมแครตในสภาผู้แทนราษฎร ได้วิพากษ์วิจารณ์ร่างกฎหมายดังกล่าว โดยกล่าวว่า พรรคเดโมแครตจะไม่สนับสนุนร่างกฎหมายงบประมาณที่ไม่ต่ออายุเงินอุดหนุนประกันสุขภาพภายใต้กฎหมายประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Affordable Care Act - ACA)
นอกจากนี้ สมาชิกพรรคเดโมแครตสายก้าวหน้าบางราย มองว่าข้อตกลงนี้เป็น "การทรยศ" เนื่องจากไม่มีการเพิ่มมาตรการคุ้มครองด้านการประกันสุขภาพ โดยข้อตกลงที่ไม่ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ถือเป็นการทรยศต่อประชาชนหลายล้านคน
หากสภาผู้แทนราษฎรให้การอนุมัติต่อร่างกฎหมายดังกล่าว ก็จะมีการส่งต่อไปยังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อลงนามเป็นกฎหมายเพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
ทั้งนี้ ร่างกฎหมายดังกล่าวจะจัดสรรงบประมาณให้แก่หน่วยงานรัฐบาลส่วนใหญ่ในระดับเท่ากับปีที่ผ่านมาไปจนถึงวันที่ 30 มกราคม 2569 และจะจัดสรรงบประมาณเต็มปีให้กับกระทรวงเกษตร กระทรวงกิจการทหารผ่านศึก โครงการก่อสร้างทางทหาร และการดำเนินงานของสภาคองเกรส
นอกจากนี้ ร่างงบประมาณนี้จะจัดสรรงบประมาณตลอดทั้งปีให้กับโครงการช่วยเหลือด้านโภชนาการเสริม (Supplemental Nutrition Assistance Program - SNAP) หรือโครงการสแตมป์อาหาร สำหรับชาวอเมริกันที่ยากไร้จำนวนกว่า 42 ล้านคน
อย่างไรก็ดี เงินอุดหนุนตามกฎหมายประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Affordable Care Act - ACA) ซึ่งช่วยให้ชาวอเมริกันรายได้น้อยสามารถเข้าถึงการประกันสุขภาพในราคาที่จ่ายได้ และกำลังจะหมดอายุในช่วงสิ้นปีนี้ ยังไม่ได้รับการรับประกันว่าจะมีการขยายออกไป โดยนายจอห์น ธูน ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภา ได้ให้คำมั่นต่อพรรคเดโมแครตว่าจะมีการลงมติไม่เกินสัปดาห์ที่สองของเดือนธันวาคมเพื่อขยายเวลาการบังคับใช้กฎหมาย ACA