💥*2568 ปีทองโลหะมีค่า พลาตินั่ม+160%/เงิน+150%/พัลลาเดียม+100%/ทอง+70%

ปี 2568 ที่กำลังจะผ่านไป นับเป็นปีทองสำหรับนักลงทุนที่ถือครองโลหะมีค่า

ทั้งนี้ พลาตินั่มครองแชมป์ให้ผลตอบแทนสูงสุดถึง 160% ในปีนี้ ขณะที่โลหะเงินทะยานขึ้นมากกว่า 150% และพัลลาเดียมพุ่งขึ้นกว่า 100% ส่วนทองดีดตัวขึ้นกว่า 70% ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ เมื่อพิจารณาจากดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทนเพียง 17%

นอกจากนี้ ปี 2568 น่าจะเป็นปีที่น่าผิดหวังสำหรับผู้ที่ลงทุนในบิตคอยน์ที่ต้องขาดทุนถึง 6% หากนับตั้งแต่ต้นปี ขณะที่ผู้ที่ถือครองดอลลาร์สหรัฐจะขาดทุน 9% ส่วนนักลงทุนในสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์จะพบว่ามีมูลค่าลดลงถึง 16%

ทั้งนี้ ราคาโลหะเงินพุ่งขึ้นทะลุระดับ 70 ดอลลาร์ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ในวันนี้ สอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของราคาทอง

ล่าสุด ราคาเงินสปอตพุ่งขึ้น 1.3% สู่ระดับ 72.32 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากแตะระดับ 72.70 ดอลลาร์ในช่วงแรก

ทั้งนี้ ราคาเงินทะยานขึ้นมากกว่า 150% นับตั้งแต่ต้นปีนี้ มากกว่า 2 เท่าเมื่อเทียบกับราคาทองซึ่งพุ่งขึ้นกว่า 70%

ราคาเงินได้แรงหนุนจากภาวะขาดแคลนอุปทานในตลาด ท่ามกลางความต้องการใช้ในด้านอุตสาหกรรม และจากการที่โลหะเงินถูกขึ้นบัญชีแร่หายากของสหรัฐ รวมทั้งได้ปัจจัยบวกจากกระแสเงินลงทุนในตลาด

นายไมเคิล บราวน์ นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Pepperstone กล่าวว่า ราคาเงินจะดีดตัวขึ้นต่อไป โดยมีเป้าหมายระยะยาวอยู่ที่ระดับ 75 ดอลลาร์/ออนซ์

ขณะเดียวกัน ราคาพลาตินั่มพุ่งขึ้น 160% ตั้งแต่ต้นปีนี้ ขณะที่พัลลาเดียมทะยานขึ้นมากกว่า 100% โดยได้รับแรงหนุนจากอุปทานที่ตึงตัว, ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาษีศุลกากร และการที่นักลงทุนหมุนเวียนเงินลงทุนออกจากทองคำไปยังโลหะมีค่าอื่น ๆ

ราคาทองสปอตพุ่งทะลุระดับ 4,500 ดอลลาร์/ออนซ์ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันนี้ จากแรงซื้อในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย และความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า

ณ เวลา 19.20 น.ตามเวลาไทย ราคาทองสปอต บวก 0.20% สู่ระดับ 4,494.49 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังพุ่งแตะระดับ 4,525.19 ดอลลาร์/ออนซ์ในช่วงแรก

ส่วนสัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. บวก 0.40% สู่ระดับ 4,523.10 ดอลลาร์/ออนซ์

นายฟาวัด ราซักซาดา นักวิเคราะห์ตลาดจาก City Index และ FOREX.com กล่าวว่า "ราคาทองยังคงปรับตัวขึ้นจากโมเมนตัมที่แข็งแกร่ง โดยได้แรงหนุนจากปัจจัยพื้นฐานที่มั่นคง ได้แก่ การเข้าซื้อทองอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางต่าง ๆ, ดอลลาร์ที่อ่อนค่า และความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย ขณะที่โลหะพื้นฐานอื่น ๆ เช่น ทองแดง ก็ปรับตัวขึ้นเช่นกัน ซึ่งช่วยสนับสนุนภาพรวมของตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ในกลุ่มโลหะทั้งหมด"

ราคาทองพุ่งขึ้นกว่า 70% นับตั้งแต่ต้นปี 2568 ทำสถิติปรับตัวขึ้นรายปีมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2522 ส่งผลให้ทองเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนในปีนี้มากกว่าการลงทุนในหุ้น บิตคอยน์ น้ำมัน และดอลลาร์สหรัฐ โดยได้ปัจจัยบวกจากแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ และความกังวลทางเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ ราคาทองยังได้แรงหนุนจากการใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), การซื้อทองคำของธนาคารกลางต่าง ๆ, แนวโน้มการลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์ รวมทั้งการไหลเข้าของเงินลงทุนเข้าสู่กองทุน ETF ทอง

ทั้งนี้ สินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย เช่น ทองคำ มักปรับตัวได้ดีในสภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยขณะนี้นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในปี 2569

นายไมเคิล บราวน์ นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Pepperstone กล่าวว่า ราคาทองจะดีดตัวขึ้นต่อไป โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ระดับ 5,000 ดอลลาร์/ออนซ์ในปีหน้า