สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลดลงเมื่อคืนนี้ (13 ก.ค.) เพราะได้รับแรงกดดันจากสกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยนักลงทุนเข้าซื้อดอลลาร์ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน นอกจากนี้ ราคาทองยังถูกกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 5.4 ดอลลาร์ หรือ 0.43% ปิดที่ 1,241.2 ดอลลาร์/ออนซ์ ขณะที่ทั้งสัปดาห์ สัญญาทองคำปรับตัวลดลง 1.2% ซึ่งเป็นการลดลงสัปดาห์ที่ 4 ในรอบ 5 สัปดาห์
สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 16.2 เซนต์ หรือ 1.0% ปิดที่ 15.815 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค. ร่วงลง 16.1 ดอลลาร์ หรือ 1.9% ปิดที่ 830.3 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนก.ย. ร่วงลง 16 ดอลลาร์ หรือ 1.7% ปิดที่ 932.80 ดอลลาร์/ออนซ์
ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปรับตัวลดลงในวันศุกร์ เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ได้สร้างแรงกดดันต่อตลาด โดยดัชนีดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ก่อนที่จะขยับลดลงเล็กน้อย 0.08% แตะที่ 94.76 เมื่อคืนนี้ ขณะที่ทั้งสัปดาห์ ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นราว 0.8%
โดยปกติแล้ว ราคาทองคำและดอลลาร์จะเคลื่อนไหวไปในทิศทางตรงข้ามกัน โดยเมื่อดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ราคาทองคำจะปรับตัวลดลง เนื่องจากดอลลาร์ที่แข็งค่าทำให้ทองคำ ซึ่งกำหนดราคาในรูปของสกุลเงินดอลลาร์ มีราคาแพงขึ้นสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่นๆ
ในการซื้อขายช่วงแรกของวันศุกร์นั้น ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น หลังจากที่สำนักงานศุลกากรจีน (GAC) เปิดเผยว่าจีนมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐในเดือนมิ.ย.ที่ระดับ 2.897 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่มีการรวบรวมข้อมูลในปี 2542 ขณะที่ยอดส่งออกสินค้าจากจีนไปยังสหรัฐในเดือนมิ.ย.อยู่ที่ระดับ 4.262 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน
ทั้งนี้ จีนมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐมูลค่ามหาศาลในเดือนมิ.ย. ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้การทำสงครามการค้าระหว่างสองประเทศทวีความรุนแรงมากขึ้น หลังจากเมื่อวันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา ทั้งสหรัฐและจีนต่างก็บังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 25% คิดเป็นมูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ และเมื่อวันพุธที่ผ่านมา สหรัฐได้ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่จีนก็ขู่ว่าจะตอบโต้เช่นกัน
ขณะเดียวกัน ราคาทองยังถูกกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ หลังสื่อเผยแถลงการณ์ประธานเฟด ก่อนกล่าวนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจต่อคองเกรสสัปดาห์หน้า
นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีกำหนดกล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีว่าด้วยนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐต่อสภาคองเกรสในสัปดาห์หน้า อย่างไรก็ดี สื่อได้เผยแพร่แถลงการณ์ของนายพาวเวลในวันศุกร์ ก่อนที่เขาจะแถลงต่อสภาคองเกรสในสัปดาห์หน้า
แถลงการณ์ของนายพาวเวลระบุว่า เฟดมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ โดยได้แรงหนุนจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจ, ความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นในภาคครัวเรือน, การขยายตัวของเศรษฐกิจในต่างประเทศ และสภาวะทางการเงินที่ผ่อนคลายภายในประเทศ ขณะที่อัตราว่างงานอยู่ในระดับต่ำ โดยเฟดคาดว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปยังคงเป็นการดำเนินการที่เหมาะสม เนื่องจากไม่มีแรงกดดันจากเงินเฟ้อ
เฟดคาดว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วง 2 ปีข้างหน้า โดยในช่วงปลายปี 2562 อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดจะอยู่ในระดับซึ่งจะจำกัดการขยายตัวเล็กน้อย ขณะที่อัตราดอกเบี้ยจะอยู่เหนือระดับที่เป็นกลางในช่วงเวลาดังกล่าว