สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวลดลงเมื่อคืนนี้ (7 ก.ย.) โดยได้รับปัจจัยกดดันจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ หลังสหรัฐเผยข้อมูลเศรษฐกิจบางรายการที่ออกมาดีเกินคาด ขณะที่ตลาดจับตาสถานการณ์การค้าสหรัฐและจีนต่อเนื่อง หลังมีรายงานว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยังคงมีความตั้งใจที่จะเดินหน้าเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ ถีงแม้นายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ ได้ส่งจดหมายไปยังเจ้าหน้าที่ของจีน เพื่อเชิญให้เข้าร่วมการเจรจาการค้าครั้งใหม่ และจีนได้ตอบรับคำเชิญแล้วก็ตาม
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 7.1 ดอลลาร์ หรือ 0.59% ปิดที่ 1,201.1 ดอลลาร์/ออนซ์ ขณะที่ทั้งสัปดาห์ สัญญาทองคำปรับตัวขึ้นไม่ถึง 1%
สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 10.2 เซนต์ หรือ 0.72% ปิดที่ 14.142 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 4.7 ดอลลาร์ หรือ 0.59% ปิดที่ 798.6 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 1.8 ดอลลาร์ หรือ 0.04% ปิดที่ 970.50 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาทองคำได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.41% แตะระดับ 94.93 เมื่อคืนนี้
ดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น จะลดความน่าดึงดูดของทอง โดยทำให้สัญญาทองมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น
วานนี้มีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐหลายรายการ ซึ่งบางรายการออกมาดีกว่าคาดการณ์
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รายงานว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนส.ค. ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนก.ค.
ทั้งนี้ การผลิตภาคอุตสาหกรรมเป็นการวัดการปรับตัวของภาคการผลิต เหมืองแร่ และสาธารณูปโภค โดยภาคการผลิตเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนส.ค. ขณะที่ภาคสาธารณูปโภคดีดตัวขึ้น 1.2% และภาคเหมืองแร่ปรับตัวขึ้น 0.7%
ขณะที่ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับ 100.8 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นอันดับ 2 ในปีนี้ และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 96.6 หลังจากแตะระดับ 96.2 ในเดือนส.ค.
ผลการสำรวจพบว่า ผู้บริโภคมีมุมมองเชิงบวกต่อรายได้และการจ้างงานในอนาคต
ด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยในวันเดียวกันว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจพุ่งขึ้น 0.6% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ หลังจากที่ขยับขึ้น 0.1% ในเดือนมิ.ย.
การดีดตัวขึ้นของสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจในเดือนก.ค.ได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของสต็อกรถยนต์
ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจ เป็นสิ่งบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่ว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ขณะที่การลดลงของสต็อกสินค้าคงคลัง บ่งชี้ถึงความไม่เชื่อมั่นของภาคธุรกิจต่อยอดขายในอนาคต
ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ความขัดแย้งทางด้านการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอย่างใกล้ชิด ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า เศรษฐกิจจีนเริ่มได้รับผลกระทบจากข้อพิพาทนี้บ้างแล้ว ทั้งนี้ หากเศรษฐกิจจีน รวมถึงเศรษฐกิจโลก ชะลอตัวลง ก็จะเป็นผลดีในแง่ของการลงทุนในทองคำ เพราะจะทำให้นักลงทุนแห่ซื้อทองกันมากขึ้น เนื่องจากมองว่าทองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย