สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (27 ก.ย.) โดยได้รับปัจจัยกดดันจากสกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมครั้งล่าสุด นอกจากนี้ การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐยังเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนเทขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ร่วงลง 11.7 ดอลลาร์ หรือ 0.98% ปิดที่ 1,187.4 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 11.1 เซนต์ หรือ 0.77% ปิดที่ 14.29 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค. ร่วงลง 14.4 ดอลลาร์ หรือ 1.74% ปิดที่ 814.7 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 8.10 ดอลลาร์ หรือ 0.8% ปิดที่ 1,071.20 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาทองคำปิดในแดนลบติดต่อกันเป็นวันที่ 2 เมื่อคืนนี้ เนื่องจากแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.64% แตะระดับ 94.94 เมื่อเวลาประมาณ 24.30 น.ตามเวลาไทย
ทั้งนี้ ดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น จะลดความน่าดึงดูดของทองคำ โดยทำให้สัญญาทองมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น
ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 2.00-2.25% ในการประชุมเมื่อวันพุธตามเวลาสหรัฐ
นอกจากนี้ การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐยังส่งผลให้นักลงทุนเทขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า GDP ประจำไตรมาส 2 ของสหรัฐขยายตัวที่ระดับ 4.2% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตสูงสุดในรอบเกือบ 4 ปี หลังจากขยายตัวเพียง 2.2% ในไตรมาสแรก
ส่วนยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้น 4.5% ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งสุดในรอบ 6 เดือน โดยได้รับปัจจัยหนุนจากคำสั่งซื้อเครื่องบินพาณิชย์