ราคาทองพุ่งกว่า 1% ในวันนี้ แตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 9 สัปดาห์ ท่ามกลางความกังวลที่ว่า การทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้าจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้ ราคาทองสปอตดีดตัวแตะ 1,319.63 ดอลลาร์ในวันนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค.
ส่วนราคาทองในตลาดฟิวเจอร์ ณ เวลา 23.25 น.ตามเวลาไทย สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. ดีดตัวขึ้น 14.40 ดอลลาร์ หรือ 1.10% สู่ระดับ 1,325.50 ดอลลาร์/ออนซ์
นอกจากนี้ ราคาทองยังได้ปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ ซึ่งจะเพิ่มความน่าดึงดูดของทอง โดยทำให้สัญญาทองมีราคาถูกลงสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น
ดัชนีดอลลาร์ปรับตัวลง ขณะที่ถูกกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า เช่น จีน และเม็กซิโก
นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังถูกถ่วงลงจากการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ
ณ เวลา 22.56 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลบ 0.19% สู่ระดับ 97.56
จากการใช้เครื่องมือ FedWatch ของ CME Group วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาฟิวเจอร์อัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่า มีโอกาส 64% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% จำนวน 1 ครั้ง หรือปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% จำนวน 2 ครั้ง ก่อนสิ้นปีนี้
นักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกน เชส ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐเมื่อพิจารณาจากมูลค่าสินทรัพย์ คาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งก่อนถึงเดือนธ.ค. ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนมุมมองจากเดิมที่คาดการณ์ว่า มีโอกาส 50-50 ที่การดำเนินการครั้งต่อไปของเฟดอาจเป็นการปรับขึ้น หรือปรับลดอัตราดอกเบี้ย
"เราเชื่อว่าหากรัฐบาลทรัมป์ปรับขึ้นภาษีต่อสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกตามที่ระบุไว้ ผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะทำให้เฟดผ่อนคลายนโยบายการเงิน และแม้ว่าสหรัฐจะสามารถทำข้อตกลงการค้ากับเม็กซิโกได้ในไม่ช้า แต่ผลกระทบที่มีต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจก็จะยังคงมีอยู่ต่อไป ซึ่งจะทำให้เฟดต้องดำเนินการลดอัตราดอกเบี้ยอีก ทำให้เราคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% จำนวน 2 ครั้งก่อนสิ้นปีนี้ โดยดำเนินการในเดือนก.ย. และเดือนธ.ค." รายงานระบุ
ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์ประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าทั้งหมดจากเม็กซิโกในอัตรา 5% ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 มิ.ย. โดยปธน.ทรัมป์มีเป้าหมายที่จะกดดันให้รัฐบาลเม็กซิโกสกัดการหลั่งไหลของผู้อพยพผิดกฎหมายที่ข้ามพรมแดนเข้าสู่สหรัฐ
ปธน.ทรัมป์ยังเตือนว่า สหรัฐจะเพิ่มภาษีนำเข้าขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าปัญหาผู้อพยพผิดกฎหมายจากเม็กซิโกจะได้รับการแก้ไข
นอกจากนี้ การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนประสบความล้มเหลวในเดือนที่แล้ว โดยที่ประชุมไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้า ขณะที่สหรัฐได้เพิ่มการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 25% จากเดิมที่ระดับ 10% ส่งผลให้จีนทำการตอบโต้ ด้วยการเพิ่มการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 25% จากเดิมที่ระดับ 10% โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มิ.ย.
สหรัฐยังได้ขึ้นบัญชีดำบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ ทำให้บริษัทไม่สามารถซื้อสินค้าจากสหรัฐ และสหรัฐยังได้เตรียมพิจารณาเพิ่มบัญชีรายชื่อบริษัทจีนที่จะถูกขึ้นบัญชีดำ โดยปธน.ทรัมป์กำลังพิจารณาที่จะขึ้นบัญชีดำบริษัทจำหน่ายกล้องวงจรปิดรายใหญ่ 5 รายของจีน ซึ่งรวมถึงบริษัท Hikvision Digital Technology และ บริษัท Dahua Technology ด้วยข้อหากระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชน