ราคาทองปรับตัวแคบใกล้นิวไฮ 3 เดือน รับข่าวจีนพร้อมเจรจาสหรัฐ,เก็งเฟดลดดอกเบี้ย

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday June 5, 2019 00:27 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ราคาทองปรับตัวในช่วงแคบใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน จากข่าวที่ว่า จีนส่งสัญญาณเปิดกว้างสำหรับการเจรจากับสหรัฐเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการค้า

นอกจากนี้ ราคาทองได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆนี้

ทั้งนี้ ราคาทองสปอตดีดตัวแตะ 1,328.98 ดอลลาร์ในวันนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 27 ก.พ.

ส่วนราคาทองในตลาดฟิวเจอร์ ณ เวลา 00.14 น.ตามเวลาไทย สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. บวก 0.1 ดอลลาร์ หรือ 0.01% สู่ระดับ 1,328.0 ดอลลาร์/ออนซ์

กระทรวงพาณิชย์จีนออกแถลงการณ์ ระบุว่า ความขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขผ่านทางการเจรจาต่อไป

"จีนเชื่อมาโดยตลอดว่า ความคิดเห็นที่แตกต่าง และความขัดแย้งทางการค้าและเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นระหว่างประเทศทั้งสอง ในท้ายที่สุดแล้ว จำเป็นที่จะต้องได้รับการแก้ไขผ่านการเจรจา และการปรึกษาหารือ"

"อย่างไรก็ดี การปรึกษาหารือดังกล่าวต้องมีหลักการ และตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเคารพซึ่งกันและกัน ความเท่าเทียมกัน และผลประโยชน์ร่วมกัน เราหวังว่าสหรัฐจะยกเลิกแนวปฏิบัติที่ผิดพลาด และทำงานร่วมกับจีน ซึ่งภายในจิตวิญญาณของการเคารพซึ่งกันและกัน ความเท่าเทียมกัน และผลประโยชน์ร่วมกัน เราจะสามารถควบคุมความคิดเห็นที่แตกต่าง และเพิ่มความร่วมมือในการปกป้องการพัฒนาความสัมพันธ์ทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างจีนและสหรัฐให้มีเสถียรภาพ และยั่งยืน"

"การที่สหรัฐกล่าวหาจีนว่าเป็นฝ่ายกลับคำพูดในระหว่างที่มีการปรึกษาหารือ เป็นการกล่าวหาที่ไร้สาระ เนื่องจากในระหว่างการปรึกษาหารือ เป็นเรื่องปกติที่การเจรจาการค้าจะต้องมีการเสนอการเปลี่ยนแปลง และการปรับเปลี่ยนต่อเนื้อหาในข้อความ" แถลงการณ์ระบุ

ทั้งนี้ การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนประสบความล้มเหลวในเดือนที่แล้ว โดยที่ประชุมไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้า ขณะที่สหรัฐได้เพิ่มการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 25% จากเดิมที่ระดับ 10% ส่งผลให้จีนทำการตอบโต้ ด้วยการเพิ่มการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 25% จากเดิมที่ระดับ 10% โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มิ.ย.

นอกจากนี้ สหรัฐได้ขึ้นบัญชีดำบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ ทำให้บริษัทไม่สามารถซื้อสินค้าจากสหรัฐ และสหรัฐยังได้เตรียมพิจารณาเพิ่มบัญชีรายชื่อบริษัทจีนที่จะถูกขึ้นบัญชีดำ โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กำลังพิจารณาที่จะขึ้นบัญชีดำบริษัทจำหน่ายกล้องวงจรปิดรายใหญ่ 5 รายของจีน ซึ่งรวมถึงบริษัท Hikvision Digital Technology และ บริษัท Dahua Technology ด้วยข้อหากระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชน

นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากแนวโน้มที่เฟดอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในไม่ช้า หลังการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ซบเซา

นายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟด สาขาเซนต์หลุยส์ กล่าวว่า เฟดจำเป็นต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆนี้ เพื่อกระตุ้นเงินเฟ้อ และเพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะเผชิญภาวะขาลง อันเนื่องมาจากสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น

นายบูลลาร์ดกล่าวว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดอาจจะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้ เพื่อช่วยหนุนอัตราเงินเฟ้อและการคาดการณ์เงินเฟ้อ นอกจากนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยยังอาจช่วยพยุงเศรษฐกิจ ในกรณีที่เศรษฐกิจชะลอตัวลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้

ทั้งนี้ นายบูลลาร์ดถือเป็นกรรมการเฟดคนแรกที่ออกมาแสดงความเห็นต่อสาธารณะว่าเฟดจำเป็นต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ย นับตั้งแต่เฟดได้ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 2.25-2.50% ในการประชุมเดือนม.ค.ปีนี้ โดยแถลงการณ์ของเฟดระบุว่า เฟดจะใช้ "ความอดทน" ในการดำเนินนโยบายการเงิน พร้อมกับพิจารณาถึงอุปสรรคต่างๆที่เกิดขึ้นจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและสงครามการค้า

การประชุมเฟดครั้งต่อไปจะมีขึ้นในวันที่ 18-19 มิ.ย.

นักลงทุนจับตาการกล่าวสุนทรพจน์ของเจ้าหน้าที่เฟดหลายรายในวันนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อ รวมทั้งทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐในปีนี้

นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด กล่าวว่า เฟดกำลังจับตามองพัฒนาการทางเศรษฐกิจในขณะนี้ และจะดำเนินการในสิ่งที่ต้องทำเพื่อให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจดำเนินต่อไป

"เราไม่รู้ว่าการทำสงครามการค้าจะได้ข้อยุติเมื่อใด และอย่างไร แต่เรากำลังจับตามองสิ่งบ่งชี้เกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ และเราจะดำเนินการอย่างเหมาะสมเพื่อรักษาการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่อไป โดยมีตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง และเงินเฟ้ออยู่ใกล้ระดับเป้าหมาย 2%" นายพาวเวลกล่าว

นอกจากนี้ นายพาวเวลยังเปิดเผยว่า เครื่องมือที่เฟดเคยใช้ในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์ ซึ่งได้แก่ การกำหนดให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ใกล้ 0% และการเข้าซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) มีแนวโน้มที่จะนำมาใช้อีกครั้งหนึ่ง

"บางทีถึงเวลาแล้วที่เฟดจะยุติการใช้คำว่า "แบบไม่ปกติ" เมื่อเราระบุถึงเครื่องมือที่มีการใช้ในช่วงเกิดวิกฤตการณ์ เรารู้ว่าเครื่องมือเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะมีความจำเป็นในอนาคต ซึ่งเราหวังว่าคงจะใช้ไม่บ่อยนัก" นายพาวเวลกล่าว

เครื่องมือ FedWatch ของ CME Group ระบุว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่า มีโอกาส 90% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย. และมีโอกาสมากกว่า 80% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนธ.ค.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ