ราคาทองฟิวเจอร์พลิกกลับมาพุ่งขึ้นทะลุ 1,400 ดอลลาร์ในวันนี้ หลังจากที่ทรุดตัวลงวานนี้ ทำสถิติดิ่งลงมากที่สุดภายในวันเดียวเมื่อคิดเป็นเปอร์เซนต์ในรอบ 2 ปีครึ่ง
ราคาทองได้แรงหนุนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
นอกจากนี้ การอ่อนค่าของดอลลาร์ก็เป็นอีกปัจจัยที่หนุนราคาทอง
ณ เวลา 22.49 น.ตามเวลาไทย สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. ดีดตัวขึ้น 16.10 ดอลลาร์ หรือ 1.16% สู่ระดับ 1,405.40 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาทองฟิวเจอร์ปิดตลาดวานนี้ร่วงลง 24.40 ดอลลาร์ หรือ 1.73% ที่ระดับ 1,389.30 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากนักลงทุนเทขายทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย และหันไปถือครองสินทรัพย์เสี่ยงที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เช่นดอลลาร์และหุ้น หลังจากผู้นำสหรัฐและจีนได้บรรลุข้อตกลงสงบศึกการค้า
ดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง จะเพิ่มความน่าดึงดูดของทอง โดยทำให้สัญญาทองมีราคาถูกลงสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น
ดอลลาร์อ่อนค่าลงในวันนี้ โดยได้รับผลกระทบจากการที่สหรัฐขู่ที่จะเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมจากสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรป (EU) วงเงิน 4 พันล้านดอลลาร์
ณ เวลา 20.44 น.ตามเวลาไทย ดอลลาร์ร่วงลง 0.25% สู่ระดับ 108.16 เยน ขณะที่ยูโรปรับตัวลง 0.14% สู่ระดับ 122.19 เยน และดีดตัวขึ้น 0.12% สู่ระดับ 1.1299 ดอลลาร์ ส่วนดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลบ 0.14% สู่ระดับ 96.71
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิงได้ตกลงกันเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาที่จะเริ่มการหารือทางการค้าอีกครั้ง บนพื้นฐานของความเท่าเทียม และความเคารพซึ่งกันและกัน โดยสหรัฐและจีนจะระงับการเพิ่มภาษีต่อสินค้านำเข้าครั้งใหม่
นอกจากนี้ สหรัฐจะอนุญาตให้บริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ สามารถซื้อสินค้าจากซัพพลายเออร์สหรัฐ และบริษัทสหรัฐสามารถขายอุปกรณ์ให้กับหัวเว่ย โดยจะต้องเป็นอุปกรณ์ที่ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งชาติ
อย่างไรก็ดี ดอลลาร์ถูกกดดัน หลังมีข่าวว่า สหรัฐกำลังพิจารณาเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมจากสินค้านำเข้าจาก EU วงเงิน 4 พันล้านดอลลาร์ เพื่อตอบโต้ต่อการที่ EU ให้เงินอุดหนุนอย่างผิดกฎหมายแก่อุตสาหกรรมผลิตเครื่องบิน
ทั้งนี้ สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ได้เสนอให้มีการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจาก EU จำนวน 89 รายการ คิดเป็นมูลค่า 4 พันล้านดอลลาร์ โดยรายการสินค้าดังกล่าวครอบคลุมถึง ชีส นม กาแฟ ผลิตภัณฑ์โลหะบางชนิด เช่นทองแดง รวมถึงวิสกี้ และผลิตภัณฑ์เนื้อหมู
การที่สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีดังกล่าวต่อ EU หรือไม่นั้น จะขึ้นอยู่กับผลการตัดสินขององค์การการค้าโลก (WTO) กรณีที่ EU ให้เงินอุดหนุนการผลิตเครื่องบิน โดยเฉพาะต่อบริษัทแอร์บัส
ขณะเดียวกัน USTR จะจัดทำประชาพิจารณ์ในเดือนหน้าเกี่ยวกับการเรียกเก็บภาษีดังกล่าวต่อ EU