สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในนรอบกว่า 6 ปีเมื่อคืนนี้ (3 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนแห่เข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากภาคการผลิตของสหรัฐหดตัวลง ซึ่งได้ฉุดตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลงอย่างหนัก นอกจากนี้ การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ยังเพิ่มความน่าดึงดูดให้กับทองคำ
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. พุ่งขึ้น 26.5 ดอลลาร์ หรือ 1.73% ปิดที่ 1,555.9 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2556
สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 89.5 เซนต์ หรือ 4.88% ปิดที่ 19.237 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 23.9 ดอลลาร์ หรือ 2.57% ปิดที่ 955.6 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 4.00 ดอลลาร์ หรือ 0.3% ปิดที่ 1535.20 ดอลลาร์/ออนซ์
นักลงทุนแห่เข้าซื้อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพ์ที่ปลอดภัย หลังจากผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ระบุว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐลดลงสู่ระดับ 49.1 ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2559 จากระดับ 51.2 ในเดือนก.ค.
ทั้งนี้ ดัชนีอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ภาวะหดตัวของภาคการผลิตของสหรัฐ ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2559 เนื่องจากภาคธุรกิจมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ส่งผลให้คำสั่งซื้อเพื่อการส่งออกหดตัวลงในเดือนส.ค.
ขณะเดียวกัน การร่วงลงของตลาดหุ้นสหรัฐ อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ยังเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยง และเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างคึกคัก โดยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา สหรัฐได้เริ่มเก็บภาษี 15% จากสินค้าจีนมูลค่าประมาณ 1.25 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่จีนเริ่มเก็บภาษี 5% จากการนำเข้าน้ำมันดิบของสหรัฐ
นอกจากนี้ สัญญาทองคำยังได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.09% สู่ระดับ 98.91 ในการซื้อขายเมื่อคืนนี้
ทั้งนี้ เมื่อดอลลาร์อ่อนค่า ราคาทองซึ่งอยู่ในรูปสกุลดอลลาร์ จะมีราคาถูกลงและน่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนซึ่งถือสกุลเงินอื่นๆ