ภาวะการซื้อขายในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ CBOT ในวันอังคาร (15 ก.ค.) สัญญาข้าวโพดยังคงปรับตัวสูงขึ้น สวนทางกับสัญญาถั่วเหลืองและข้าวสาลีที่ปรับตัวลง
ทั้งนี้ สัญญาข้าวโพดส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 1.75 เซนต์ หรือ +0.42% ปิดที่ 4.1975 ดอลลาร์/บุชเชล, สัญญาข้าวสาลีส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 3.50 เซนต์ หรือ -0.65% ปิดที่ 5.3800 ดอลลาร์/บุชเชล และสัญญาถั่วเหลืองส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 5.25 เซนต์ หรือ -0.52% ปิดที่ 10.0175 ดอลลาร์/บุชเชล
นักวิเคราะห์ระบุว่า การปรับตัวขึ้นของราคาข้าวโพดเป็นผลต่อเนื่องมาจากการซื้อคืนเพื่อปิดสถานะชอร์ต (short covering) และการเข้าช้อนซื้อหลังจากที่ราคาลดลงแตะระดับต่ำสุดของสัญญาในการซื้อขายวันก่อนหน้า ขณะที่ราคาถั่วเหลืองได้รับแรงกดดันจากรายงานสภาพผลผลิตที่ดีขึ้นในสหรัฐฯ ซึ่งนำไปสู่การคาดการณ์ว่าผลผลิตในฤดูใบไม้ร่วงจะมีปริมาณมาก
หลังปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) ได้ปรับเพิ่มการประเมินสภาพผลผลิตถั่วเหลืองในเกณฑ์ "ดีถึงดีเยี่ยม" ขึ้น 4 จุด มาอยู่ที่ 70% ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ข้อมูลจากหน่วยงานยังระบุว่า สภาพผลผลิตข้าวโพดและถั่วเหลืองของสหรัฐฯ ในช่วงกลางเดือนก.ค. ปีนี้ ถือว่าดีที่สุดนับตั้งแต่ปี 2559
นักวิเคราะห์จาก JPMorgan ระบุในรายงานว่า "เรายังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อปัจจัยพื้นฐานของข้าวโพดในตลาด CBOT และมองว่าราคาในระดับปัจจุบันมีความน่าสนใจสำหรับผู้บริโภค" พร้อมให้ความเห็นว่า ตลาดอยู่ในภาวะขายมากเกินไป (oversold)
ด้านข้อมูลจากสมาคมผู้แปรรูปเมล็ดพืชน้ำมันแห่งชาติ (NOPA) ระบุว่า ปริมาณการบีบสกัดน้ำมันถั่วเหลืองของสหรัฐฯ ในเดือนมิ.ย. สูงกว่าค่าเฉลี่ยที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ และแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของเดือนดังกล่าว ขณะที่สต๊อกน้ำมันถั่วเหลืองลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือน
ขณะเดียวกัน เทรดเดอร์ยังคงจับตาสถานการณ์ภาษีที่เสนอโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ และความเป็นไปได้ที่จะเกิดการตอบโต้ทางการค้า ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อยอดขายเพื่อการส่งออกของสหรัฐฯ
นอกจากนี้ เทรดเดอร์ในยุโรปรายงานว่า หน่วยงานธัญพืชของรัฐแอลจีเรีย (OAIC) ได้สั่งซื้อข้าวสาลีสำหรับทำแป้งประมาณ 1 ล้านเมตริกตัน ผ่านการประมูลราคานานาชาติ