ภาวะการซื้อขายในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ CBOT ในวันพุธ (30 ก.ค.) สัญญาถั่วเหลืองปรับตัวลงต่อเนื่องเป็นวันทำการที่ 4 โดยมีปัจจัยกดดันจากการคาดการณ์สภาพอากาศที่เอื้อต่อการเพาะปลูกในแถบมิดเวสต์ของสหรัฐฯ และความกังวลต่ออุปสงค์การส่งออกที่ยังคงซบเซา ขณะที่สัญญาข้าวสาลีอ่อนตัวลง ส่วนราคาข้าวโพดกลับขยับขึ้นเล็กน้อย
ทั้งนี้ สัญญาข้าวโพดส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 1.25 เซนต์ หรือ +0.30% ปิดที่ 4.1225 ดอลลาร์/บุชเชล, สัญญาข้าวสาลีส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 6.00 เซนต์ หรือ -1.13% ปิดที่ 5.2375 ดอลลาร์/บุชเชล และสัญญาถั่วเหลืองส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 13.75 เซนต์ หรือ -1.36% ปิดที่ 9.9575 ดอลลาร์/บุชเชล
การคาดการณ์ว่าสภาพอากาศจะเย็นลงและมีฝนตกตามฤดูกาลในพื้นที่เพาะปลูกหลัก ๆ หนุนความคาดหวังว่าสหรัฐฯ จะมีผลผลิตในปริมาณมาก สอดคล้องกับรายงานประจำวันของกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) ที่ระบุว่าพืชผลส่วนใหญ่ในแถบมิดเวสต์ยังคงได้รับน้ำอย่างเพียงพอ
แนวโน้มอุปทานที่จะออกมาเป็นจำนวนมากนี้ เกิดขึ้นสวนทางกับอุปสงค์การส่งออกที่ยังคงเผชิญแรงกดดัน โดยมีสาเหตุหลักจากข้อพิพาททางการค้าที่ยืดเยื้อกับจีน ซึ่งเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ที่สุด แม้ว่าเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และจีนจะตกลงกันเมื่อวันอังคาร (29 ก.ค.) ที่จะขยายเวลาการพักรบทางภาษี 90 วันออกไป แต่แนวโน้มอุปสงค์จากจีนยังคงอ่อนแอ แหล่งข่าวในวงการค้าระบุว่า การที่จีนนำเข้าถั่วเหลืองปริมาณสูงเป็นประวัติการณ์เมื่อต้นปี 2568 ทำให้มีกากถั่วเหลืองคงคลังในประเทศสูง ซึ่งบั่นทอนความต้องการซื้อรอบใหม่
สำหรับสัญญาข้าวสาลีปิดตลาดปรับตัวลดลงเช่นกัน แม้จะมีข่าวว่าบังกลาเทศได้อนุมัติการจัดซื้อข้าวสาลีจากสหรัฐฯ ประมาณ 220,000 เมตริกตัน เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้า
อย่างไรก็ตาม สัญญาข้าวโพดกลับปิดบวกสวนทางตลาด โดยเทรดเดอร์ให้เหตุผลว่า การปรับขึ้นเล็กน้อยนี้มาจากการเข้าซื้อทางเทคนิค การซื้อคืนเพื่อปิดสถานะชอร์ต (short-covering) และอุปสงค์ที่แข็งแกร่งจากเอเชีย
ขณะนี้ ผู้เล่นในตลาดกำลังจับตาข้อมูลยอดขายเพื่อการส่งออกรายสัปดาห์ของ USDA ซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ (31 ก.ค.) ส่วนในระยะถัดไปคือรายงานผลผลิตพืชรายเดือนในวันที่ 12 ส.ค. ซึ่งเทรดเดอร์ส่วนใหญ่คาดว่า USDA จะปรับเพิ่มคาดการณ์ผลผลิตข้าวโพดต่อเอเคอร์ของสหรัฐฯ จากปัจจุบันที่ 181 บุชเชลต่อเอเคอร์