ภาวะการซื้อขายในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ CBOT ในวันพุธ (6 ส.ค.) สัญญาข้าวสาลีร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี ก่อนดีดตัวปิดบวกเล็กน้อย ขณะที่ราคาข้าวโพดดิ่งลงทำสถิติต่ำสุดครั้งใหม่ติดต่อกันเป็นวันที่สาม โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากปริมาณผลผลิตธัญพืชทั่วโลกที่ออกมามากเกินความต้องการจนล้นตลาด
ทั้งนี้ สัญญาข้าวโพดส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 0.75 เซนต์ หรือ -0.19% ปิดที่ 4.0125 ดอลลาร์/บุชเชล, สัญญาข้าวสาลีส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 0.25 เซนต์ หรือ +0.05% ปิดที่ 5.0850 ดอลลาร์/บุชเชล และสัญญาถั่วเหลืองส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 6.25 เซนต์ หรือ -0.63% ปิดที่ 9.8450 ดอลลาร์/บุชเชล
นักวิเคราะห์ชี้ว่า ปริมาณข้าวสาลีจำนวนมหาศาลที่เพิ่งเก็บเกี่ยวได้จากสหรัฐฯ และกลุ่มประเทศในแถบทะเลดำได้ไหลทะลักเข้าสู่ตลาด ประกอบกับการแข่งขันด้านการส่งออกที่ดุเดือด และการที่ไม่มีประเทศใดประสบปัญหาขาดแคลนผลผลิตเลย ยิ่งเป็นปัจจัยกดดันให้ราคาดิ่งลงอย่างหนัก
สถานการณ์ราคาข้าวโพดที่ดิ่งลงอย่างหนักยังส่งผลกระทบต่อเนื่องมายังตลาดข้าวสาลี เนื่องจากบรรดาผู้ผลิตอาหารสัตว์ต่างหันไปใช้ข้าวโพดซึ่งมีราคาถูกกว่ามาเป็นวัตถุดิบสำหรับเลี้ยงสัตว์ปีกและปศุสัตว์แทนข้าวสาลี ทำให้ความต้องการข้าวสาลียิ่งลดน้อยลงไปอีก
ปัจจัยที่กดดันราคาข้าวโพดอย่างหนักมาจากการคาดการณ์ของภาคเอกชนว่า ผลผลิตข้าวโพดในสหรัฐฯ ปีนี้จะออกมาสูงมาก และตลาดยังเชื่อว่ากระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ (USDA) จะต้องปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ผลผลิตของตนเองขึ้นตามไปด้วย
ข่าวดังกล่าวสอดคล้องกับรายงานของ USDA ที่เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ (4 ส.ค.) ซึ่งระบุว่า สภาพต้นข้าวโพดในสหรัฐฯ อยู่ในเกณฑ์ดีที่สุดในรอบ 9 ปี ตอกย้ำแนวโน้มว่าสหรัฐฯ จะได้ผลผลิตมหาศาลในปีนี้ หลังจากที่พืชผลผ่านพ้นช่วงการผสมเกสรซึ่งเป็นระยะที่สำคัญที่สุดไปแล้ว
นอกจากนี้ ผลผลิตข้าวโพดรอบที่สองจำนวนมหาศาลจากบราซิลก็ได้เริ่มทยอยเข้าสู่ตลาดแล้ว ซึ่งเป็นการตัดหน้าฤดูเก็บเกี่ยวของสหรัฐฯ ที่จะมาถึงในช่วงฤดูใบไม้ร่วง
ขณะเดียวกัน ราคากากถั่วเหลืองที่อ่อนตัวลงก็ได้ฉุดให้ราคาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มถั่วเหลืองทั้งหมดปรับตัวลดลงตามไปด้วย เนื่องจากความต้องการในตลาดที่ซบเซา สวนทางกับปริมาณกากถั่วเหลืองที่มีอยู่อย่างล้นเหลือ