ภาวะการซื้อขายในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ CBOT ในวันศุกร์ (12 ก.ย.) สัญญาธัญพืชปิดบวกทั้งกระดาน นำโดยสัญญาข้าวโพดพุ่งขึ้นกว่า 2% โดยได้ปัจจัยหนุนจากแรงซื้อเพื่อชดเชยการขายชอร์ต (short covering)
ทั้งนี้ สัญญาข้าวโพดส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 10.25 เซนต์ หรือ +2.44% ปิดที่ 4.300 ดอลลาร์/บุชเชล, สัญญาข้าวสาลีส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 2 เซนต์ หรือ +0.38% ปิดที่ 5.2350 ดอลลาร์/บุชเชล และสัญญาถั่วเหลืองส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 12.75 เซนต์ หรือ +1.23% ปิดที่ 10.4625 ดอลลาร์/บุชเชล
กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) จะเปิดเผยรายงานประมาณการอุปทานและอุปสงค์สินค้าเกษตรโลก (WASDE) ในวันศุกร์ โดยประมาณการว่า ผลผลิตข้าวสาลีในสหภาพยุโรป (EU) เพิ่มขึ้น 1.85 ล้านเมตริกตัน สู่ระดับ 140.1 ล้านตัน และผลผลิตข้าวสาลีของรัสเซียเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านตัน สู่ระดับ 85 ล้านตัน
นอกจากนี้ USDA ยังได้ปรับเพิ่มประมาณการผลผลิตข้าวสาลีในออสเตรเลีย ยูเครน และแคนาดา ซึ่งส่งผลให้ราคาข้าวสาลีถูกกดดันในระหว่างัน หลังจาก USDA เผยแพร่รายงานดังกล่าว
อย่างไรก็ดี สัญญาธัญพืชปิดตลาดในแดนบวกทั้งกระดาน เนื่องจากนักลงทุนมองข้ามปัจจัยลบจากรายงานดังกล่าว และเลือกที่จะเข้าซื้อเพื่อปิดสถานะขายชอร์ต
ทางด้านสมาคมเชื้อเพลิงหมุนเวียน (Renewable Fuels Association) หรือ RFA แสดงความเห็นว่า การที่ USDA คาดการณ์ว่าเกษตรกรในสหรัฐฯ จะผลิตข้าวโพดได้มากขึ้นในปีนี้ เป็นการเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเร่งผลิตเอทานอลเพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ
"คาดว่าอุปทานข้าวโพดหลังการเก็บเกี่ยวในปีนี้จะสูงกว่าความต้องการอย่างมาก ทำให้มีส่วนเกินถึง 2.1 พันล้านบุชเชล" RFA กล่าวทั้งนี้ RFA เรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ เร่งทำการเปิดและขยายตลาดข้าวโพด ตลอดจนหาแนวทางในการขจัดอุปสรรคที่ขัดขวางโอกาสทางการตลาดสำหรับเอทานอล พร้อมกับแนะนำว่า การอนุญาตให้ใช้ E15 ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานยนต์ที่ผสมเอทานอล 15% นั้น จะช่วยชดเชยผลกระทบจากภาวะอุปทานข้าวโพดส่วนเกินนี้ได้