ภาวะการซื้อขายในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ CBOT ในวันอังคาร (30 ก.ย.) สัญญาธัญพืชปิดลบทั้งกระดาน เนื่องจากรายงานปริมาณสต๊อกรายไตรมาสของกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) ที่ออกมาสูงกว่าคาดการณ์ ประกอบกับความคืบหน้าของฤดูเก็บเกี่ยวในสหรัฐฯ และความต้องการจากจีนที่ซบเซา
ทั้งนี้ สัญญาข้าวโพดส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 6.00 เซนต์ หรือ -1.42% ปิดที่ 4.1550 ดอลลาร์/บุชเชล, สัญญาข้าวสาลีส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 11.50 เซนต์ หรือ -2.21% ปิดที่ 5.0800 ดอลลาร์/บุชเชล และสัญญาถั่วเหลืองส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 8.75 เซนต์ หรือ -0.87% ปิดที่ 10.0175 ดอลลาร์/บุชเชล
รายงานสต๊อกรายไตรมาสของ USDA ซึ่งเป็นข้อมูลที่ตลาดจับตามองอย่างใกล้ชิด ระบุว่า ก่อนเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง ปริมาณข้าวโพดในคลังของเกษตรกรและผู้ค้าธัญพืชในสหรัฐฯ ต่ำกว่าปีก่อน 13% แต่คาดว่าผลผลิตรอบใหม่ที่จะสูงเป็นประวัติการณ์จะเข้ามาเติมเต็มสต๊อกดังกล่าว โดย USDA ระบุว่า ณ วันที่ 1 ก.ย. สหรัฐฯ มีปริมาณข้าวโพดคงคลังอยู่ที่ 1.532 พันล้านบุชเชล ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 1.337 พันล้านบุชเชล
นอกจากนี้ ประเด็นความเสี่ยงที่รัฐบาลสหรัฐฯ อาจต้องปิดทำการชั่วคราว (ชัตดาวน์) ตั้งแต่วันพุธเป็นต้นไป (1 ต.ค.) ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนทั้งในตลาดธัญพืชและตลาดการเงินโดยรวม
นักวิเคราะห์ชี้ว่า ปัจจัยหลักที่กดดันราคาสัญญาถั่วเหลืองคืออุปสงค์การส่งออกที่อ่อนแอ โดยผู้ส่งออกถั่วเหลืองของสหรัฐฯ กำลังเสียโอกาสทางธุรกิจในตลาดจีน ท่ามกลางสงครามการค้าระหว่างสองมหาอำนาจ ทำให้คู่แข่งจากอเมริกาใต้เข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดไปแทน
ขณะเดียวกัน ตลาดก็ได้รับแรงกดดันจากผลผลิตข้าวโพดและถั่วเหลืองที่กำลังทยอยออกสู่ตลาด สภาพอากาศที่อบอุ่นและแห้งในเขตเพาะปลูกของสหรัฐฯ ได้เอื้อต่อการเก็บเกี่ยวในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และมีการคาดการณ์ว่าสภาพอากาศจะยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปในสัปดาห์นี้
สำหรับราคาข้าวโพด แม้ก่อนหน้านี้จะได้รับแรงหนุนจากยอดส่งออกที่แข็งแกร่งและความกังวลเรื่องปริมาณผลผลิต แต่ก็มีแนวโน้มที่จะทรงตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า และยังคงปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา