สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 2% ในวันพฤหัสบดี (11 ก.ย.) โดยถูกกดดันความกังวลว่าอุปสงค์น้ำมันในสหรัฐฯ อาจชะลอตัวลง และตลาดโลกอาจเกิดภาวะอุปทานน้ำมันล้นตลาด ซึ่งความกังวลในเรื่องดังกล่าวได้บดบังปัจจัยบวกจากการคาดการณ์ที่ว่าสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางและสงครามในยูเครนอาจส่งผลให้เกิดภาวะชะงักงันด้านอุปทาน
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 1.3 ดอลลาร์ หรือ 2.04% ปิดที่ 62.37 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 1.12 ดอลลาร์ หรือ 1.66% ปิดที่ 66.37 ดอลลาร์/บาร์เรล
ราคาน้ำมันได้รับแรงกดดันจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA) ซึ่งระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 3.9 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1.9 ล้านบาร์เรล
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันร่วงลง หลังจากสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุในรายงานประจำเดือนว่า อุปทานน้ำมันในตลาดโลกในปีนี้จะเพิ่มขึ้นรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ปรับเพิ่มกำลังการผลิต
ในการประชุมเมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 ก.ย. กลุ่มโอเปกพลัสมีมติเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน 137,000 บาร์เรล/วันสำหรับเดือนต.ค.โดยมีเป้าหมายเพื่อชิงส่วนแบ่งตลาดกลับคืนมา ซึ่งบ่งชี้ว่าโอเปกพลัสปรับเพิ่มการผลิตน้ำมันอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่เพิ่มการผลิต 547,000 บาร์เรล/วันในเดือนก.ย., 548,000 บาร์เรล/วันในเดือนส.ค. รวมทั้งการปรับเพิ่มการผลิต 411,000 บาร์เรล/วันทั้งในเดือนเดือนพ.ค., เดือนมิ.ย. และเดือนก.ค.
ส่วนความเคลื่อนไหวอื่น ๆ ที่มีผลต่อตลาดน้ำมันนั้น รายงานระบุว่าการส่งออกน้ำมันจากซาอุดีอาระเบียไปยังประเทศจีนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยบริษัทอารามโค (Aramco) ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันของรัฐบาลซาอุดีอาระเบียมีแผนที่จะส่งออกน้ำมันประมาณ 1.65 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนต.ค. ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 1.43 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนก.ย.