สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันพุธ (17 ก.ย.) หลังสหรัฐฯ เปิดเผยสต็อกน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นอย่างมากในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งทำให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปสงค์ชะลอตัวในสหรัฐฯ
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 47 เซนต์ หรือ 0.73% ปิดที่ 64.05 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 52 เซนต์ หรือ 0.76% ปิดที่ 67.95 ดอลลาร์/บาร์เรล
ราคาน้ำมันปรับตัวลง หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล พุ่งขึ้น 4.0 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้นเพียง 1.1 ล้านบาร์เรล
อย่างไรก็ดี สต็อกน้ำมันดิบลดลง 9.2 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.4 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 2.3 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 700,000 บาร์เรล
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีมติ 11 ต่อ 1 เสียง อนุมัติการปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเมื่อวันพุธ ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ส่วนในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% รวม 0.50% ก่อนสิ้นปีนี้
สำหรับความเคลื่อนไหวด้านอุปทานน้ำมันนั้น บริษัท Kazmunaygaz ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานของรัฐบาลคาซัคสถานเปิดเผยว่า คาซัคสถานได้กลับมาส่งออกน้ำมันผ่านท่อส่ง Baku-Tbilisi-Ceyhan ตั้งแต่วันที่ 13 ก.ย. หลังจากที่การส่งออกได้ถูกระงับไปเมื่อเดือนที่แล้วเนื่องจากปัญหาการปนเปื้อน
ขณะที่บริษัท Transneft ซึ่งผูกขาดการให้บริการท่อส่งน้ำมันของรัสเซีย ได้เตือนบรรดาผู้ผลิตว่าอาจต้องลดกำลังการผลิตลง หลังจากยูเครนได้ทำการโจมตีท่าเรือส่งออกและโรงกลั่นที่สำคัญของรัสเซีย
ส่วนที่ไนจีเรีย ประธานาธิบดีโบลา ทินูบู ได้ประกาศยกเลิกภาวะฉุกเฉินในรัฐริเวอร์สซึ่งเป็นศูนย์กลางการส่งออกน้ำมันดิบของไนจีเรีย