สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเล็กน้อยในวันอังคาร (7 ต.ค.) ขณะที่นักลงทุนประเมินแนวโน้มอุปทานน้ำมันในตลาดโลก หลังจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันน้อยกว่าคาดในเดือนพ.ย. ในขณะเดียวกันก็มีสัญญาณบ่งชี้ว่าอุปทานน้ำมันในตลาดโลกอาจปรับตัวสูงขึ้น
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 4 เซนต์ หรือ 0.06% ปิดที่ 61.73 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 2 เซนต์ หรือ 0.03% ปิดที่ 65.45 ดอลลาร์/บาร์เรล
ราคาน้ำมัน WTI และน้ำมันเบรนท์พุ่งขึ้นกว่า 1% ในวันจันทร์ที่ผ่านมา หลังจากโอเปกพลัสมีมติปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน 137,000 บาร์เรล/วันในเดือนพ.ย. ซึ่งน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะเพิ่มการผลิตมากถึง 500,000 บาร์เรล/วัน
อย่างไรก็ดี นักลงทุนเริ่มประเมินแนวโน้มอุปทานน้ำมันในตลาดโลก หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การผลิตน้ำมันในสหรัฐฯ โดย EIA รายงานในวันอังคารว่า การผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ คาดว่าจะทำสถิติสูงสุดที่ระดับ 13.53 ล้านบาร์เรล/วันในปีนี้ เพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ก่อนหน้าที่ระดับ 13.44 ล้านบาร์เรล/วัน
นอกจากนี้ EIA คาดการณ์ว่าสต็อกน้ำมันทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นจนถึงปีหน้า เนื่องจากประเทศนอกกลุ่มโอเปกพลัสผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น ซึ่งจะกดดันให้ราคาน้ำมันเข้าสู่ช่วงขาลงอย่างมีนัยสำคัญในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ขณะที่รายงานของ JPMorgan ระบุว่า สต็อกน้ำมันทั่วโลกซึ่งรวมถึงน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 123 ล้านบาร์เรลในเดือนก.ย. โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกสัปดาห์ในเดือนดังกล่าว
ด้านสถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) รายงานในวันอังคารว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 2.78 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 3 ต.ค. ขณะที่สต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 1.25 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่นลดลง 1.82 ล้านบาร์เรล
นักวิเคราะห์จากบริษัท StoneX บรรยากาศการซื้อขายในตลาดยังซบเซาลงหลังจากซาอุดีอาระเบียได้ตัดสินใจคงราคาน้ำมันดิบที่ขายให้กับเอเชีย สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะมีการปรับขึ้นราคา