สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกกว่า 1% ในวันพุธ (8 ต.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าข้อตกลงสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังไม่มีความคืบหน้าจะทำให้รัสเซียยังคงถูกคว่ำบาตร รวมทั้งรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA) ที่บ่งชี้ว่าการใช้น้ำมันภายในประเทศปรับตัวสุงขึ้น
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 82 เซนต์ หรือ 1.33% ปิดที่ 62.55 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 80 เซนต์ หรือ 1.2% ปิดที่ 66.25 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมัน WTI ปิดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 29 ก.ย. และสัญญาน้ำมันเบรนท์ปิดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 30 ก.ย.
นักการทูตระดับสูงของรัสเซียเปิดเผยว่า ข้อตกลงสันติภาพกับยูเครนยังไม่มีความคืบหน้าในขณะนี้ สะท้อนให้เห็นว่ารัสเซียยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันของมาตรการคว่ำบาตร ซึ่งทำให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานล้นตลาด หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีการประเมินจากนักวิเคราะห์ว่า ข้อตกลงสันติภาพอาจทำให้น้ำมันรัสเซียไหลเข้าสู่ตลาดโลกได้มากขึ้น โดยรัสเซียเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบรายใหญ่อันดับสองของโลกในปี 2567 รองจากสหรัฐฯ
นอกจากนี้ อุตสาหกรรมพลังงานของรัสเซียได้เผชิญกับสถานการณ์ตึงเครียดอย่างรุนแรงในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากกองทัพยูเครนได้ส่งโดรนโจมตีรัสเซียระลอกใหญ่ โดยส่วนใหญ่มุ่งเป้าไปที่โรงกลั่นน้ำมัน
สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 3.7 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 3 ต.ค. มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.2 ล้านบาร์เรล และมากกว่าที่สถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) รายงานว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 2.8 ล้านบาร์เรล
อย่างไรก็ตาม EIA ระบุว่า การส่งมอบผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมเพิ่มขึ้นแตะระดับ 21.990 ล้านบาร์เรล/วันในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นปริมาณสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2565 โดยตัวเลขการส่งมอบผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียถือเป็นดัชนีชี้วัดความต้องการใช้น้ำมันในสหรัฐฯ
ราคาน้ำมันยังคงได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 28-29 ต.ค. โดยนักลงทุนคาดหวังว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะเป็นปัจจัยกระตุ้นเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมัน