สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันจันทร์ (13 ต.ค.) หลังจากสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ยืนยันว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะยังคงพบปะกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ตามกำหนดการเดิมในช่วงสิ้นเดือนนี้ ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสองประเทศ
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 59 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 59.49 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 59 เซนต์ หรือ 0.94% ปิดที่ 63.32 ดอลลาร์/บาร์เรล
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (10 ต.ค.) สัญญาน้ำมัน WTI ร่วงลงกว่า 4% แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. หลังจากปธน.ทรัมป์ขู่ว่าจะยกเลิกการพบปะกับปธน.สี และประกาศว่าจะเก็บภาษี 100% สำหรับสินค้าจีนทั้งหมด เพื่อตอบโต้จีนที่ประกาศมาตรการคุมเข้มการส่งออกแร่หายากและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการผลิตแร่หายาก
อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้นในวันจันทร์ หลังจากสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เปิดเผยกับสถานีโทรทัศน์ Fox Business Network ว่า ปธน.ทรัมป์ยังคงมีกำหนดการพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน นอกรอบการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) ที่เกาหลีใต้ในช่วงสิ้นเดือนนี้ หลังจากทั้งสองฝ่ายมีการติดต่อสื่อสารกันอย่างจริงจังและสามารถลดระดับความตึงเครียดลงได้อย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ เบสเซนต์เปิดเผยว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ยังคงเป็นไปในทางที่ดี และมาตรการภาษี 100% ที่ปธน.ทรัมป์ประกาศว่าจะเรียกเก็บจากจีนนั้น อาจไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้น พร้อมกับเสริมว่า เจ้าหน้าที่จีนและสหรัฐฯ จะมีการหารือกันที่กรุงวอชิงตันในสัปดาห์นี้ นอกรอบการประชุมประจำปีของธนาคารโลก (World Bank) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)
ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากรายงานที่ว่า จีนนำเข้าน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 3.9% ในเดือนก.ย. แตะที่ระดับ 11.5 ล้านบาร์เรล/วัน รวมทั้งการที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ยังคงคาดการณ์การขยายตัวของอุปสงค์น้ำมันทั่วโลกที่ค่อนข้างสูงสำหรับปีนี้และปีหน้า
อย่างไรก็ดี สัญญาณที่บ่งชี้ถึงแนวโน้มสันติภาพในตะวันออกกลางได้สกัดแรงบวกของราคาน้ำมัน โดยล่าสุดกลุ่มฮามาสได้ปล่อยตัวประกันชาวอิสราเอลที่ยังมีชีวิตรอด 20 คนสุดท้าย ภายใต้ข้อตกลงหยุดยิงที่สหรัฐฯ เป็นคนกลาง