สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี (30 ต.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ในวันอาทิตย์นี้
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 9 เซนต์ หรือ 0.15% ปิดที่ 60.57 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 8 เซนต์ หรือ 0.12% ปิดที่ 65 ดอลลาร์/บาร์เรล
ปธน.ทรัมป์เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวบนเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวันหลังเสร็จสิ้นการเจรจากับปธน.สีที่เมืองปูซานของเกาหลีใต้เมื่อวานนี้ว่า เขาได้ตกลงที่จะลดภาษีสินค้านำเข้าจากจีนลงเหลือ 47% จากเดิม 57% เพื่อแลกกับการที่จีนจะกลับมาซื้อถั่วเหลืองของสหรัฐฯ รวมทั้งเดินหน้าการส่งออกแร่หายาก และกวาดล้างการค้าเฟนทานิลที่ผิดกฎหมาย
ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมเมื่อวันพุธ ซึ่งการปรับลดดอกเบี้ยทำให้ต้นทุนการกู้ยืมลดลง ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนเศรษฐกิจและอุปสงค์น้ำมัน
อย่างไรก็ดี เจอโรม พาวเวล ประธานเฟดกล่าวกับผู้สื่อข่าวภายหลังการประชุมว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมนั้นยังไม่ใช่สิ่งที่รับประกันว่าจะเกิดขึ้น เนื่องจากเฟดได้รับผลกระทบจากการปิดหน่วยงานรัฐบาล ซึ่งทำให้รายงานเศรษฐกิจบางส่วนหยุดชะงักลง และเจ้าหน้าที่เฟดทั้ง 19 รายในคณะกรรมการ FOMC ยังคงมีความเห็นที่แตกต่างกันอย่างมากเกี่ยวกับแนวทางที่จะดำเนินต่อไปในการประชุมเดือนธ.ค.
ทางด้านธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเมื่อวานนี้ตามคาด ส่วนเศรษฐกิจยูโรโซนขยายตัวรวดเร็วกว่าคาดเล็กน้อยในไตรมาส 3 โดยได้แรงหนุนจากการเติบโตของเศรษฐกิจฝรั่งเศสและสเปน ซึ่งช่วยชดเชยความอ่อนแอของภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกในเยอรมนี
นักลงทุนจับตาการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ในวันอาทิตย์ที่ 2 พ.ย.นี้ ขณะที่แหล่งข่าวเปิดเผยว่า สมาชิกทั้ง 8 ประเทศของกลุ่มโอเปกพลัส ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย รัสเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คูเวต โอมาน อิรัก คาซัคสถาน และแอลจีเรีย มีแนวโน้มที่จะประกาศเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันอีก 137,000 บาร์เรล/วันในเดือนธ.ค. โดยมีเป้าหมายเพื่อทวงคืนส่วนแบ่งตลาด