สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลดลงสู่ระดับต่ำกว่า 60 ดอลลาร์ในวันพฤหัสบดี (6 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันล้นตลาด รวมทั้งอุปสงค์ที่อ่อนแอลงในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศที่ใช้น้ำมันมากที่สุดในโลก
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 17 เซนต์ หรือ 0.29% ปิดที่ 59.43 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 14 เซนต์ หรือ 0.22% ปิดที่ 63.38 ดอลลาร์/บาร์เรล
ราคาน้ำมันปรับตัวลงติดต่อกันเป็นวันที่ 3 ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันล้นตลาด หลังจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส มีมติเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันอีก 137,000 บาร์เรล/วันในเดือนธ.ค. และตัดสินใจระงับการปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในไตรมาส 1/2569 ซึ่งนักลงทุนมองว่าการตัดสินใจดังกล่าวบ่งชี้ว่าโอเปกพลัสมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันล้นตลาด นอกจากนี้ การผลิตน้ำมันในประเทศนอกกลุ่มโอเปกก็ปรับตัวสูงขึ้น
อุปสงค์ที่อ่อนแอยังเป็นปัจจัยฉุดราคาน้ำมันเช่นกัน โดยธนาคาร JPMorgan ระบุว่า นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 4 พ.ย. อุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกเพิ่มขึ้นเพียง 850,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งต่ำกว่าระดับ 900,000 บาร์เรลต่อวันที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ JPMorgan ระบุว่า ปริมาณการใช้น้ำมันในสหรัฐฯ ยังคงซบเซา เนื่องจากกิจกรรมการเดินทางและการขนส่งสินค้าทางทะเลที่ชะลอตัวลง
สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA) เปิดเผยเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า สต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 5.2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 2.5 ล้านบาร์เรล โดยข้อมูลดังกล่าวถือเป็นการตอกย้ำถึงอุปสงค์น้ำมันที่อ่อนแอลงในสหรัฐฯ
ทางด้านซาอุดี อารัมโค (Saudi Aramco) บริษัทผลิตน้ำมันของรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย เปิดเผยว่า ทางบริษัทจะปรับลดราคาน้ำมันดิบสำหรับลูกค้าในเอเชียในเดือนธ.ค. โดยการปรับลดราคาครั้งนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังซาอุดีอาระเบียและประเทศสมาชิกโอเปกพลัสประกาศว่าจะหยุดเพิ่มกำลังการผลิตในช่วงไตรมาส 1/2569