สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันอังคาร (18 พ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการที่สหรัฐฯ คว่ำบาตรบริษัทน้ำมันรายใหญ่ของรัสเซีย ซึ่งจะส่งผลให้ปริมาณการส่งออกน้ำมันจากรัสเซียลดน้อยลง นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้ปัจจัยบวกจากข่าวที่ว่า คณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เริ่มทำการสัมภาษณ์ผู้ที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คนใหม่
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 83 เซนต์ หรือ 1.39% ปิดที่ 60.74 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 69 เซนต์ หรือ 1.07% ปิดที่ 64.89 ดอลลาร์/บาร์เรล
ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้น หลังจากปธน.ทรัมป์ประกาศว่า คณะบริหารของเขาได้เริ่มทำการสัมภาษณ์ผู้ที่จะเข้ารับตำแหน่งประธานเฟดต่อจากเจอโรม พาวเวล ซึ่งจะหมดวาระในเดือนพ.ค.ปีหน้า โดยที่ผ่านมานั้น ปธน.ทรัมป์ได้วิพากษ์วิจารณ์พาวเวลที่ยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับสูง
นักวิเคราะห์จาก Again Capital กล่าวว่า ข่าวดังกล่าวเป็นปัจจัยหนุนตลาด เนื่องจากทรัมป์แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาต้องการเลือกคนที่มีจุดยืนด้านนโยบายการเงินแบบใดเข้ามาทำหน้าที่ประธานเฟด ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้นักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยงอย่างสัญญาน้ำมันดิบ
ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากการที่ปธน.ทรัมป์ประกาศคว่ำบาตรบริษัท Lukoil และ Rosneft ซึ่งเป็นสองบริษัทผลิตน้ำมันรายใหญ่ของรัสเซีย โดยมีเป้าหมายกดดันให้รัสเซียยุติสงครามในยูเครน ขณะที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า การคว่ำบาตรครั้งใหม่นี้จะส่งผลกระทบต่อความสามารถของรัสเซียในการหารายได้สนับสนุนการทำสงครามในยูเครน และคาดว่าจะทำให้ปริมาณการส่งออกน้ำมันของรัสเซียลดน้อยลงด้วย
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า พรรครีพับลิกันกำลังร่างกฎหมายเพื่อคว่ำบาตรประเทศที่ทำธุรกิจกับรัสเซีย ซึ่งอาจรวมถึงประเทศอิหร่าน
นักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวลงต่อเนื่องจนถึงปี 2569 โดยระบุถึงผลกระทบของภาวะอุปทานล้นตลาด อย่างไรก็ดี คาดว่าราคาน้ำมันเบรนท์อาจดีดตัวขึ้นเหนือระดับ 70 ดอลลาร์/บาร์เรลในช่วงปี 2569/2570 หากผลผลิตน้ำมันของรัสเซียปรับตัวลดลงอีก
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA) ในวันนี้ เพื่อประเมินแนวโน้มอุปสงค์น้ำมันภายในประเทศ