สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพุธ (3 ธ.ค.) หลังจากรัสเซียและสหรัฐฯ ไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาข้อตกลงสันติภาพเพื่อยุติสงครามในยูเครน อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันลดช่วงบวก เนื่องจากสต็อกน้ำมันดิบและน้ำมันเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นของสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันล้นตลาด
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 31 เซนต์ หรือ 0.53% ปิดที่ 58.95 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 22 เซนต์ หรือ 0.35% ปิดที่ 62.67 ดอลลาร์/บาร์เรล
ทำเนียบเครมลินของรัสเซียเปิดเผยว่า รัสเซียและสหรัฐฯ ยังไม่สามารถประนีประนอมกันได้เกี่ยวกับข้อตกลงสันติภาพเพื่อยุติสงครามในยูเครน ภายหลังการหารือนาน 5 ชั่วโมงระหว่างประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย กับคณะผู้แทนระดับสูงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ
รายงานระบุว่า การเจรจาระหว่างปูตินกับสตีฟ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษของทรัมป์ และจาเรด คุชเนอร์ บุตรเขยของทรัมป์ ที่กรุงมอสโกในวันพุธนั้น ยืดเยื้อจนเลยเที่ยงคืน ก่อนที่ยูริ อูชาคอฟ ที่ปรึกษานโยบายต่างประเทศระดับสูงของปูติน จะประกาศในการแถลงข่าวว่า การประนีประนอมยังไม่เกิดขึ้น และยังมีงานที่ต้องทำอีกมาก นอกจากนี้ เขาเปิดเผยว่าปธน.ปูตินมีท่าทีเชิงลบต่อข้อเสนอบางส่วนของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ หากการเจรจาสันติภาพประสบความล้มเหลว ก็จะทำให้รัสเซียหมดโอกาสในการได้รับการผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรอุตสาหกรรมน้ำมัน และจะทำให้การส่งออกน้ำมันของรัสเซียถูกจำกัด ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมัน
อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันลดช่วงบวก หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 574,000 บาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 28 พ.ย. สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 821,000 บาร์เรล
ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 4.52 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่นซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 2.1 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 700,000 บาร์เรล