สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) เดือนพ.ย. ซึ่งมีการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ตลาด NYMEX ดีดตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 91.79 ดอลลาร์/บาร์เรล ภายหลังมีการเปิดเผยรายงานจากกระทรวงแรงงาน แต่หลังจากนั้น ราคาน้ำมันกลับมาปรับตัวลดลงอีกครั้ง โดยลดลง 42 เซนต์ หรือ 0.5% แตะที่ 90.59 ดอลลาร์/บาร์เรล
ด้านสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ร่วงลง 1.31 ดอลลาร์ หรือ 1.4% แตะ 92.11 ดอลลาร์/บาร์เรล
กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรปรับตัวเพิ่มขึ้น 248,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. ขณะที่อัตราว่างงานลดลงสู่ระดับ 5.9% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 6 ปี
ตัวเลขจ้างงานเดือนก.ย.เพิ่มขึ้นในอัตราที่รวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. และมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 215,000 ตำแหน่ง หลังจากปรับตัวขึ้นเพียง 180,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นตัวเลขที่ถูกปรับทบทวนขึ้นจากรายงานเบื้องต้นที่ 142,000 ตำแหน่ง
สำหรับอัตราว่างงานนั้นลดลงต่ำกว่าระดับ 6% เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วงกลางปี 2551 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าอัตราว่างงานเดือนก.ย.จะทรงตัวที่ 6.1%
ทั้งสัญญา WTI และเบรนท์ร่วงลงอย่างหนักในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปสงค์-อุปทาน โดยขณะนี้ทั่วโลกมีอุปทานน้ำมันมากพอ แต่อุปสงค์กลับซบเซา ท่ามกลางการขยายตัวทางเศรษฐกิจในจีนและยุโรปที่ชะลอตัว ขณะที่คาดว่าปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของสหรัฐและชาติพันธมิตรต่อกลุ่มรัฐอิสลามในอิรักและซีเรียนั้น ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันในตะวันออกลาง
โดยวานนี้ สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ร่วงลงปิดที่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบ WTI ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 1 ปีครึ่งในการซื้อขายระหว่างวัน ก่อนปิดขยับขึ้นเล็กน้อย
ทั้งนี้ โดยปกติแล้ว การจ้างงานที่แข็งแกร่งอาจส่งผลให้ความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะน้ำมันเบนซิน เนื่องจากจะมีจำนวนผู้ใช้รถใช้ถนนเพื่อเดินทางไปทำงานเพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงิน หลังจากที่มีการเปิดเผยตัวเลขจ้างงาน ซึ่งดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นไม่เป็นผลดีต่อน้ำมัน เนื่องจากจะทำให้ราคาน้ำมันมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ซื้อที่ใช้สกุลเงินต่างประเทศ