ณ เวลา 18.12 น.ตามเวลาไทย สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนต.ค. ซึ่งมีการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ตลาด NYMEX ร่วงลง 55 เซนต์ หรือ 1.17% สู่ระดับ 46.35 ดอลลาร์/บาร์เรล
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ ลงมติด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 1 ในการประชุมเมื่อวานนี้ให้คงอัตราดอกเบี้ยในช่วง 0-0.25% ต่อไป ท่ามกลางความวิตกต่อเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอ และตลาดการเงินที่ไร้เสถียรภาพ
เฟดระบุว่า ถึงแม้ตลาดแรงงานมีความแข็งแกร่ง แต่ความผันผวนในตลาดการเงินและเศรษฐกิจโลกในช่วงที่ผ่านมา อาจส่งผลกระทบต่อกิจกรรมในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐ และมีแนวโน้มที่จะทำให้มีแรงกดดันในช่วงขาลงต่อเงินเฟ้อในระยะใกล้
ขณะเดียวกัน เฟดระบุว่า กำลังจับตาสถานการณ์ในต่างประเทศ ซึ่งบ่งชี้ว่าเฟดมีความกังวลมากขึ้นว่าภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจนอกสหรัฐจะกระทบต่อเศรษฐกิจในอเมริกา
นอกจากนี้ การที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) มีแนวโน้มไม่ลดการผลิตน้ำมัน ก็เป็นปัจจัยลบต่อตลาด
คูเวต ซึ่งเป็นสมาชิกโอเปก ระบุว่า ตลาดน้ำมันจะสามารถปรับตัวเข้าสู่ภาวะสมดุลได้เอง แต่อาจจะต้องใช้เวลา
ท่าทีของคูเวตบ่งชี้ถึงการสนับสนุนนโยบายของโอเปกในการไม่ลดการผลิตน้ำมันเพื่อปกป้องส่วนแบ่งตลาดของโอเปก แม้ว่าราคายังคงปรับตัวลง
สมาชิกอื่นๆในกลุ่มโอเปกให้การสนับสนุนมุมมองดังกล่าวเช่นกัน โดยระบุว่า พวกเขาไม่คาดว่าราคาจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลต่อปีจนแตะ 80 ดอลลาร์ในปี 2020 ซึ่งแม้ประเทศนอกกลุ่มโอเปกชะลอการผลิตน้ำมันลง แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะแก้ปัญหาน้ำมันล้นตลาด
เมื่อวันจันทร์ โอเปกออกรายงานประจำเดือน โดยได้ปรับลดคาดการณ์ปริมาณน้ำมันจากประเทศนอกกลุ่มโอเปกในปีนี้ โดยลดลง 72,000 บาร์เรล สู่ระดับ 880,000 บาร์เรลต่อวัน จากการผลิตน้ำมันที่ต่ำกว่าคาดของสหรัฐ
การปรับลดคาดการณ์ดังกล่าวบ่งชี้ว่า ราคาน้ำมันดิบที่ทรุดตัวลงกำลังส่งผลกระทบต่อการผลิต shale oil ของสหรัฐ
ทางการซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลก แสดงความเห็นคัดค้านการจัดประชุมสุดยอดของโอเปก และประเทศผู้ผลิตน้ำมันนอกโอเปก เนื่องจากมองว่าไม่สามารถทำให้เกิดการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมที่จะช่วยสกัดการร่วงลงของราคาน้ำมัน