สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (2 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานพลังงานที่สูงขึ้นในสหรัฐ หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) สต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย.ร่วงลง 1.22 ดอลลาร์ หรือ 2.3% ปิดที่ 52.61 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนเม.ย.ลดลง 1.28 ดอลลาร์ หรือ 2.3% ปิดที่ 55.08 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบร่วงลงติดต่อกัน 3 วันทำการ หลังจาก EIA รายงานล่าสุดว่า สต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 520.2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
รายงานสต็อกน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นสะท้อนให้เห็นว่า อุปทานพลังงานในสหรัฐยังคงอยู่ในระดับสูง ขณะที่รายงานล่าสุดของเบเกอร์ ฮิวจ์ระบุว่าแท่นขุดเจาะน้ำมันที่มีการใช้งานในสัปดาห์ที่แล้ว มีจำนวนเพิ่มขึ้น 5 แท่น สู่ระดับ 602 แท่น ทำให้แท่นน้ำมันที่มีการใช้งาน มีจำนวนมากกว่า 600 แท่นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนต.ค.2015
นักลงทุนจับตาความเคลื่อนไหวของประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ในการปฏิบัติตามข้อตกลงปรับลดการผลิต หลังจากมีรายงานว่า การผลิตน้ำมันของรัสเซียในเดือนก.พ.ทรงตัวจากเดือนม.ค.
อย่างไรก็ตาม รายงานระบุว่า กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ได้ลดการผลิตเป็นเดือนที่ 2 ในเดือนก.พ. และขณะนี้ให้ความร่วมมือลดกำลังการผลิตถึง 94%
ในการประชุมเมื่อวันที่ 30 พ.ย.ปีที่แล้ว กลุ่มประเทศโอเปกได้บรรลุข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิต 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน สู่ระดับ 32.5 ล้านบาร์เรล/วัน และจากนั้นในกลางเดือนธ.ค. ผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปกได้ตกลงที่จะปรับลดกำลังการผลิตลง 558,000 บาร์เรล/วัน โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค.2017 และมีกำหนดเป็นเวลา 6 เดือน ซึ่งจะสิ้นสุดในกลางปีนี้