สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 10 เดือนเมื่อคืนนี้ (21 มิ.ย.) หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) การผลิตน้ำมันของสหรัฐปรับตัวสูงขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยข้อมูลดังกล่าวส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะน้ำมันล้นตลาด และอาจเป็นปัจจัยขัดขวางความพยายามในการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก)
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. ร่วงลง 98 เซนต์ หรือ 2.3% ปิดที่ 42.53 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 10 ส.ค.
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนส.ค. ดิ่งลง 1.20 ดอลลาร์ หรือ 2.6% ปิดที่ 44.82 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลงติดต่อกันเป็นวันที่ 3 เมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะน้ำมันล้นตลาด โดยรายงานล่าสุดของ EIA ระบุว่า การผลิตน้ำมันของสหรัฐพุ่งขึ้น 20,000 บาร์เรล สู่ระดับ 9.35 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 2 ปี
การผลิตน้ำมันที่เพิ่มขึ้นของสหรัฐได้ส่งผลบดบังปัจจัยบวกจากรายงานของ EIA ที่ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบลดลง 2.5 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 509.1 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 2.1 ล้านบาร์เรล ขณะที่สต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 600,000 บาร์เรล
สำนักข่าวซินหัวรายงานโดยอ้างความเห็นของนักวิเคราะห์ว่า การผลิตน้ำมันที่เพิ่มขึ้นของสหรัฐ ลิเบีย และไนจีเรีย ถือเป็นปัจจัยที่กำลังขัดขวางความพยายามในการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปก
ทั้งนี้ ลิเบียผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น 50,000 บาร์เรลต่อวัน สู่ระดับ 885,000 บาร์เรลต่อวัน หลังจากการปิโตรเลียมของลิเบียสามารถบรรลุข้อตกลงกับบริษัทวินส์เตอร์แชลล์ ของเยอรมนี
ขณะที่ไนจีเรียได้วางแผนที่จะส่งออกน้ำมันในเดือนส.ค.ในปริมาณ 226,000 บาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นจากระดับของเดือนก.ค.ที่ 164,000 บาร์เรลต่อวัน