สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 สัปดาห์เมื่อคืนนี้ (6 ก.ย.) หลังจากโรงกลั่นน้ำมันบางส่วนของสหรัฐในแถบกัลฟ์โคสต์ได้เริ่มกลับมาดำเนินการผลิต หลังจากที่ต้องปิดลงก่อนหน้านี้จากอิทธิพลของพายุเฮอร์ริเคน "ฮาร์วีย์" ขณะที่นักลงทุนจับตาพายุเฮอร์ริเคน "เออร์มา" ซึ่งมีความรุนแรงในระดับ 5 และกำลังเคลื่อนตัวอยู่ในทะเลคาริบเบียน และรัฐฟลอริดา
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 50 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 49.16 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 9 ส.ค.
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 82 เซนต์ หรือ 1.5% ปิดที่ 54.20 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปิดตลาดในแดนบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 4 เมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากพายุเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์ หลังจากมีรายงานว่า โรงกลั่นน้ำมันบางส่วนของสหรัฐในแถบกัลฟ์โคสต์ได้เริ่มกลับมาทำการผลิต
รายงานระบุว่า ในขณะนี้โรงกลั่นน้ำมันของสหรัฐมีการผลิตลดลง 3.8 ล้านบาร์เรล/วัน หรือ 20% ของกำลังการกลั่นทั้งหมด อันเนื่องจากโรงกลั่นบางส่วนยังคงปิดทำการ เมื่อเทียบกับการผลิตที่หายไป 4.2 ล้านบาร์เรล/วัน ในช่วงที่พายุเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์มีกำลังแรงที่สุดขณะพัดถล่มแหล่งผลิตน้ำมันในรัฐเท็กซัส
นักลงทุนจับตาพายุเฮอร์ริเคนเออร์มา ซึ่งมีความรุนแรงในระดับ 5 และกำลังเคลื่อนตัวในทะเลคาริบเบียน และรัฐฟลอริดา โดยคาดว่าพายุลูกนี้อาจส่งผลกระทบต่อโรงกลั่น และทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำมัน
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ระบุว่า ในระยะยาวนั้น อุตสาหกรรมน้ำมันยังคงเผชิญกับปริมาณน้ำมันจำนวนมาก และราคาอยู่ในระดับต่ำ จากการผลิตในระดับสูงในรัสเซีย, ตะวันออกกลาง และอเมริกาเหนือ
นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) ในวันนี้ เวลา 21.30 น.ตามเวลาไทย