
สื่อท้องถิ่นฟินแลนด์รายงานเมื่อวันศุกร์ (5 ก.ย.) ว่า ศาลแขวงลัปแลนด์ของฟินแลนด์พิพากษาจำคุกเวอร์นู วาซุนตา ซีอีโอของเคียนตามา (Kiantama) บริษัทเบอร์รีรายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของฟินแลนด์ เป็นเวลา 3 ปีครึ่ง และห้ามประกอบธุรกิจจนถึงปี 2572 เนื่องจากกระทำผิดฐานค้ามนุษย์ร้ายแรง 62 กระทง ซึ่งพัวพันกับแรงงานไทยหลายสิบคน โดยกัลยากร พงษ์พิศ ชาวไทย ซึ่งเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด ถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 3 ปี
รายงานระบุว่า ศาลแขวงลัปแลนด์สั่งให้เคียนตามา ร่วมกับจำเลยทั้งสองราย จ่ายเงินชดเชยมากกว่า 6 แสนยูโร (ราว 22 ล้านบาท) แก่กลุ่มแรงงาน รวมถึงค่าใช้จ่ายทางกฎหมายและการพิจารณาคดี ซึ่งเกี่ยวข้องกับชาวไทยที่ถูกว่าจ้างมาเก็บเกี่ยวเบอร์รีในปี 2565 และถูกหลอกลวงเกี่ยวกับรายได้และสภาพความเป็นอยู่ โดยเมื่อมาถึงฟินแลนด์ แรงงานทั้งหมดต้องเผชิญการถูกเอารัดเอาเปรียบอันเป็นการบังคับใช้แรงงาน
แรงงานแต่ละคนต้องเก็บผลเบอร์รีได้ 2,400-4,000 กิโลกรัมในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว 10 สัปดาห์ แต่ส่วนใหญ่ได้รับรายได้เพียงไม่กี่ร้อยยูโรหลังจากหักค่าเดินทาง ค่าอาหาร ค่าที่พัก และค่ายานพาหนะแล้ว ขณะหัวหน้างานมักเก็บหนังสือเดินทางของคนงาน และคนงานหลายคนลงนามสัญญากู้ยืมเงินก่อนมาถึงฟินแลนด์ ทำให้พวกเขาต้องพึ่งพาบริษัททั้งทางการเงินและโลจิสติกส์ ทั้งยังไม่ได้รับแจ้งสิทธิจำหน่ายเบอร์รีอย่างอิสระด้วย
ทั้งนี้ ทนายความของจำเลยทั้งสองรายกล่าวว่าพวกเขาตั้งใจจะยื่นอุทธรณ์
คำตัดสินที่เป็นเอกฉันท์ครั้งนี้ทำให้มีการตรวจสอบระบบแรงงานตามฤดูกาลของฟินแลนด์ และช่องโหว่ของแรงงานชาวต่างชาติในอุตสาหกรรมเบอร์รีอีกครั้ง ขณะที่สถานการณ์ของคนงานเก็บเบอร์รีชาวต่างชาติเป็นกระแสกังวลในฟินแลนด์มานานแล้ว หลังจากเกิดเรื่องอื้อฉาวและการสืบสวนของตำรวจมาหลายปีจนนำสู่การตั้งข้อหาค้ามนุษย์กับกลุ่มบริษัทเบอร์รี และการปฏิรูปในปี 2567 ที่กำหนดให้แรงงานชาวต่างชาติต้องได้รับสัญญาจ้างและเงินเดือนอย่างเป็นทางการ
ปี 2565 ศาลฎีกาฟินแลนด์ได้ตัดสินจำคุกเจ้าของบริษัทเบอร์รีแห่งหนึ่งเป็นเวลา 1 ปี 10 เดือน ในคดีค้ามนุษย์ที่ฟ้องผู้ซื้อเบอร์รีคดีแรก ๆ ของประเทศ
อุตสาหกรรมเบอร์รีป่าของฟินแลนด์มีรากฐานมาจากหลักการ "สิทธิของทุกคน" ซึ่งอนุญาตให้ทุกคนสามารถเก็บเบอร์รีได้โดยไม่ต้องขออนุญาตจากเจ้าของที่ดิน ยกเว้นพื้นที่ใกล้ที่อยู่อาศัยส่วนบุคคล จนกระทั่งปี 2548 กลุ่มบริษัทเบอร์รีของฟินแลนด์ส่วนใหญ่ยังพึ่งพาแรงงานท้องถิ่นในประเทศ แต่เมื่อคนฟินแลนด์ไม่ต้องการทำงานหนักและเหนื่อยล้าเช่นนี้อีก อุตสาหกรรมเบอร์รีจึงหันไปพึ่งแรงงานชาวต่างชาติมากขึ้น