สถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐ (NIH) ประกาศเริ่มการทดลองทางคลินิกระยะที่ 3 เพื่อประเมินความปลอดภัยและประสิทธิภาพของการใช้ยาปรับภูมิคุ้มกัน 3 ตัวในการรักษาผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) วัยผู้ใหญ่ที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล
ผู้ป่วยโรคโควิด-19 บางรายเผชิญกับการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่มีการปล่อยโปรตีนในปริมาณที่มากเกินไปจนก่อให้เกิดการอักเสบ การทดลองทางคลินิกครั้งนี้จึงมุ่งตรวจสอบว่าการปรับการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันจะช่วยลดความจำเป็นในการใช้เครื่องช่วยหายใจและย่นระยะเวลาการรักษาตัวในโรงพยาบาลได้หรือไม่
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สถาบันได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันศุกร์ระบุ การทดลองแอคทีฟ-1 อิมมูน โมดูเลเตอร์ (ACTIV-1 Immune Modulators) จะตรวจสอบว่า การรักษาด้วยยาปรับภูมิคุ้มกันดังกล่าวจะสามารถคืนความสมดุลให้กับระบบภูมิคุ้มกันที่ทำงานมากเกินไปได้หรือไม่ โดยจะรับสมัครผู้ใหญ่ที่รักษาตัวด้วยโรคโควิด-19 อาการปานกลางถึงรุนแรง ราว 2,100 ราย จากสถานพยาบาลในสหรัฐและลาตินอเมริกา
สถาบันเผยว่าผู้เข้าร่วมทดลองทุกคนจะได้รับยาเรมซิเดเวียร์ (remdesivir) ซึ่งปัจจุบันถูกกำหนดเป็นมาตรฐานสำหรับรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในโรงพยาบาล ส่วนน้ำเลือดหรือพลาสมาที่มีโปรตีนภูมิคุ้มกัน (convalescent plasma) และยาเดกซาเมธาโซน (dexamethasone) จะได้รับอนุญาตให้ใช้ตามดุลยพินิจของสถานพยาบาลแต่ละแห่งและเป็นไปตามแนวปฏิบัติของประเทศ
ขณะเดียวกันผู้เข้าร่วมทดลองจะถูกสุ่มให้รับยาหลอกหรือหนึ่งในยาปรับภูมิคุ้มกันเป็นยาเสริม โดยการทดลองจะศึกษาข้อกำหนดการรักษาแบบผสมผสานที่แตกต่างกัน ซึ่งคำนึงถึงความรุนแรงของอาการป่วย ความรวดเร็วในการฟื้นตัว อัตราการเสียชีวิต และการใช้ทรัพยากรในโรงพยาบาล