กระแสเสื้อผ้าแบรนด์ไทย เมื่อโซเชียลขับเคลื่อนการตลาดออนไลน์

ข่าวทั่วไป Thursday December 25, 2025 11:59 —ThaiPR.net

กระแสเสื้อผ้าแบรนด์ไทย เมื่อโซเชียลขับเคลื่อนการตลาดออนไลน์

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เสื้อผ้าแบรนด์ไทย (Thai Fashion Brands) ไม่ได้เป็นเพียงสินค้าแฟชั่นที่เป็นทางเลือกของผู้บริโภคอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นภาพสะท้อนของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทยที่เติบโตอย่างเป็นรูปธรรมบนโลกออนไลน์ จากแบรนด์เล็กที่เริ่มต้นบนโซเชียลมีเดีย สู่แบรนด์ที่สามารถสร้างกระแสและฐานลูกค้าได้ในวงกว้าง

บริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด ได้รวบรวมข้อมูลบทสนทนาบนโซเชียลมีเดียผ่านเครื่องมือ dxt:360 Social Listening ระหว่างวันที่ 1 กันยายน - 15 ธันวาคม 2568 เพื่อวิเคราะห์ภาพรวมการพูดถึง "เสื้อผ้าแบรนด์ไทย" ทั้งในมิติของแพลตฟอร์มที่ถูกใช้งาน แบรนด์ที่ได้รับความสนใจ เทรนด์สินค้า รวมถึงอินไซต์เชิงลึกด้านพฤติกรรมและความคาดหวังของผู้บริโภคบนโลกออนไลน์

กระแสเสื้อผ้าแบรนด์ไทย เมื่อโซเชียลขับเคลื่อนการตลาดออนไลน์

พฤติกรรมผู้ใช้โซเชียลแต่ละแพลตฟอร์ม

จากข้อมูล Social Listening พบว่า บทสนทนาเกี่ยวกับ "เสื้อผ้าแบรนด์ไทย" กระจายอยู่บนหลายแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย โดยแต่ละช่องทางมีรูปแบบและลักษณะการสื่อสารและบทบาทที่แตกต่างกัน ทั้งในด้านจำนวนการกล่าวถึง (Mention) และประเภทของคอนเทนต์ที่ผู้ใช้งานให้ความสนใจ ซึ่งสะท้อนพฤติกรรมการเสพสื่อและการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคต่อแบรนด์ไทยได้อย่างชัดเจน

TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่มีการกล่าวถึง (Mention) มากที่สุด โดยมีการสนทนาเกี่ยวกับเสื้อผ้าแบรนด์ไทยสูงสุด คิดเป็น 59.7% ของทั้งหมด คอนเทนต์ส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบวิดีโอสั้น เช่น การรีวิวสินค้า การลองสวมใส่จริง (Try-on / Haul) การแนะนำเทรนด์สินค้าและแฟชั่น รวมถึงคอนเทนต์แชร์ลุคการแต่งตัว (OOTD) ซึ่งสามารถกระตุ้นการรับรู้และการมีส่วนร่วม (Engagement) ได้อย่างรวดเร็วและเป็นช่องทางที่สร้าง Engagement ได้สูงสุด โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน

กระแสเสื้อผ้าแบรนด์ไทย เมื่อโซเชียลขับเคลื่อนการตลาดออนไลน์

นอกจากนี้ TikTok ยังถูกพูดถึงในฐานะ "ช่องทางการซื้อขายสินค้าโดยตรง" (E-commerce Platform) หรือ TikTok Shop ซึ่งทำให้แพลตฟอร์มนี้ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงสร้างการรับรู้ แต่ยังเชื่อมโยงไปสู่ขั้นตอนการตัดสินใจซื้อได้อย่างครบวงจรภายในแพลตฟอร์มเดียว

โดยเฉพาะ ฟีเจอร์ "ปักตะกร้า" ที่ผู้ชมสามารถเชื่อมต่อคอนเทนต์กับการตัดสินใจซื้อได้ทันที หรือที่เรียกว่า Content-to-Commerce ทำให้แพลตฟอร์มนี้มีบทบาทตั้งแต่การสร้างกระแส ไปจนถึงการปิดการขายภายในแพลตฟอร์มเดียว

รองลงมาคือ Facebook คิดเป็นสัดส่วน 37.5% ของการกล่าวถึงทั้งหมด โดยบทสนทนาส่วนใหญ่มาจาก Official Account ของแบรนด์ ห้างสรรพสินค้า และแพลตฟอร์มค้าปลีก Facebook จึงทำหน้าที่เป็นช่องทางหลักในการสื่อสารข้อมูลของแบรนด์ เช่น รายละเอียดสินค้า โปรโมตคอลเลกชันใหม่ และกิจกรรมส่งเสริมการขาย มากกว่าการสร้างกระแสแบบไวรัล โดยผู้ใช้งานมักมีปฏิสัมพันธ์กับโพสต์ที่ให้ข้อมูลครบถ้วน

กระแสเสื้อผ้าแบรนด์ไทย เมื่อโซเชียลขับเคลื่อนการตลาดออนไลน์

ขณะที่ Instagram ถูกใช้เพื่อสร้างภาพลักษณ์และตัวตนของแบรนด์ผ่านการนำเสนอภาพสินค้าและสไตล์ของแบรนด์ที่ชัดเจนเป็นหลัก เพื่อสร้างการรับรู้ด้านภาพลักษณ์ (Brand Perception) ส่วนแพลตฟอร์มอย่าง X, YouTube และเว็บบอร์ดออนไลน์ แม้จะมีสัดส่วนการกล่าวถึงไม่สูงนัก แต่แพลตฟอร์มเหล่านี้ยังมีบทบาทในการช่วยขยายการสื่อสารและสะท้อนมุมมองของผู้บริโภคที่มีต่อเสื้อผ้าแบรนด์ไทยในโลกออนไลน์ได้

10 แบรนด์เสื้อผ้าไทยที่ครองใจผู้ใช้โซเชียล

จากการวิเคราะห์ Engagement บนโซเชียลมีเดียในช่วงการเก็บข้อมูลครั้งนี้ พบว่าแบรนด์เสื้อผ้าไทยบางส่วนมีระดับการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งานที่ค่อนข้างโดดเด่น ซึ่งสะท้อนบทบาทของกิจกรรมการสื่อสารและการตลาดบนแพลตฟอร์มดิจิทัล

หมายเหตุ: ระดับ Engagement ที่ใช้ในการวิเคราะห์และจัดอันดับแบรนด์ในบทความนี้ พิจารณาจากจำนวน Like, Comment และ Share บนโซเชียลมีเดีย โดยไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อวัดยอดขายหรือผลประกอบการของแบรนด์

ATIPA (อติภา) - แบรนด์แฟชั่นสายฝอที่มีระดับ Engagement 20.3% เป็นอันดับ 1 ในช่วงเวลาที่เก็บข้อมูล สอดคล้องกับกิจกรรมทางการตลาดและการสื่อสารบนโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะการทำ Collaboration ควบคู่กับกิจกรรมการไลฟ์ขายสินค้าบน TikTok อย่างสม่ำเสมอ โดยมักเลือกใช้บุคคลที่มีชื่อเสียง เช่น อิงฟ้า วราหะ เข้ามาร่วมไลฟ์ เพื่อช่วยขยายการรับรู้และกระตุ้นการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์ม

นอกจากนี้ หลังช่วงเวลาการเก็บข้อมูล ATIPA ยังมีการจัดแฟชั่นโชว์ Aura x ATIPA ในแคมเปญ #AURAxATIPA เพื่อเปิดตัว Workwear Collection ซึ่งมีการใช้พลังของ Influencer และบุคคลที่มีชื่อเสียงเข้ามาร่วมสร้างกระแสบนโลกออนไลน์ ซึ่งระดับ Engagement ที่เพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี อาจเชื่อมโยงกับการสื่อสารและการโปรโมตกิจกรรมทางการตลาดของแบรนด์ก่อนวันจัดงานจริง

BEMING (บีมิ่ง) - ครองอันดับ 2 ด้วย Engagement 17.9% โดยแบรนด์เลือกเจาะตลาดกลุ่ม Young Gen ผ่านกลยุทธ์การสื่อสารที่เน้นความ "เข้าถึงง่าย" ด้วยคอนเทนต์รูปแบบ Vox Pop สัมภาษณ์วัยรุ่นสยาม ทำให้แบรนด์ดูเป็นมิตรและจับต้องได้ นอกจากนี้ยังเสริมทัพด้วย Micro-Influencer ขวัญใจวัยรุ่นอย่าง เจลลี่เจน และ เบ๊บบี้ ที่มาช่วยถ่ายทอดคาแรคเตอร์ความน่ารักสดใส ส่งผลให้ BEMING กลายเป็นแบรนด์เสื้อกันหนาวคาร์ดิแกนยอดนิยมที่ครองใจนักเรียนนักศึกษาในวงกว้าง

YUEDPAO (ยืดเปล่า) - แบรนด์เสื้อยืดโอเวอร์ไซซ์ ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 3 ด้วย Engagement 10.2% โดยยังคงยืนหยัดด้วยจุดแข็งเรื่อง "Product Quality" ที่เลื่องชื่อว่า "ไม่ยืด ไม่ย้วย" และมีความคุ้มค่า แต่สิ่งที่ช่วยดันกราฟความสนใจให้พุ่งสูงขึ้นคือกระแส Viral เชิงบวก (Positive Sentiment) จากการเคลื่อนไหวเพื่อสังคม เริ่มจากกรณีที่คุณ CK นักธุรกิจชื่อดังเจ้าของแพลตฟอร์ม Fastwork นำเสื้อกว่า 7,000 ตัว เข้าช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยทางภาคใต้ ต่อเนื่องด้วยแคมเปญวิ่งการกุศล #Runpao #Keepgoing งานวิ่งแถวบ้าน ที่ไม่เพียงมุ่งเน้นการวิ่งเพื่อการกุศล แต่ยังช่วยขยายภาพลักษณ์ให้เหนือกว่าแค่แบรนด์เสื้อยืดทั่วไป สู่การเป็นแบรนด์ที่มีไอเทมตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ได้ครบวงจร ทั้งลุค Casual, Fashion และ Activewear ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ช่วยยกระดับคุณค่าของแบรนด์และสร้างความประทับใจให้แก่ผู้บริโภคได้อย่างยั่งยืน

MERGE (เมิร์จ) - แบรนด์ไทยที่โดดเด่นเรื่องการดีไซน์กางเกงยีนส์ให้ตอบโจทย์สรีระผู้หญิง อันดับ 4 ด้วย Engagement 9.9% โดยระดับ Engagement ที่เพิ่มขึ้นในช่วงเวลาที่เก็บข้อมูล สอดคล้องกับการปรากฎตัวของแบรนด์ในงาน ELLE Fashion Week 2025 (#EFW2025) ระหว่างวันที่ 13-16 พฤศจิกายน 2568 ณ ไอคอนสยาม โดย MERGE เป็นหนึ่งในแบรนด์ดีไซเนอร์ไทยที่ร่วมโชว์ในอีเวนต์ Social Buzz ร่วมกับ Renim Project และ Blacksugar ซึ่งเป็นกลุ่มแบรนด์ที่ได้รับความสนใจจากผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียอยู่แล้ว การปรากฏตัวในอีเวนต์ดังกล่าวจึงช่วยขยายการรับรู้ของแบรนด์ และสร้างบทสนทนาบนโลกออนไลน์ในช่วงเวลาเดียวกับการจัดงาน

นอกจากนี้ การเปิดตัวสินค้าใหม่อย่างกระเป๋าไซซ์ Macro ที่มาพร้อมดีไซน์กะทัดรัดทันสมัย ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งให้ Merge ขึ้นแท่นแบรนด์ยอดนิยมได้อย่างรวดเร็ว

WARRIX (วอริกซ์) - อันดับ 5 ด้วย Engagement 6.1% ในฐานะแบรนด์สปอร์ตแวร์สัญชาติไทยที่ได้รับการยอมรับเรื่องคุณภาพมาตรฐานสากล โดยได้รับแรงหนุนจากการเป็นผู้สนับสนุนหลักในฟุตบอลประเพณีจตุรมิตรสามัคคี ครั้งที่ 31 ซึ่งสร้างพื้นที่การพูดถึงในวงกว้าง นอกจากนี้ แบรนด์ยังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจากพลัง Soft Power เมื่อ แอนตัน (Anton) สมาชิกวง RIIZE สวมเสื้อ Warrix ขึ้นคอนเสิร์ตรอบ Soundcheck ในไทย ทำให้แบรนด์ถูกจับตามองจากกลุ่มคนรุ่นใหม่และแฟนคลับต่างชาติเพิ่มขึ้นทันที

ขณะเดียวกัน ยังมีแบรนด์ศักยภาพสูงที่ได้รับความสนใจจากชาวโซเชียลอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ Homeboy (4.5%), Studio Unknown (4.4%), Promthong (3.5%), Gentlewoman (2.9%) และ Mitr (2.8%) สะท้อนให้เห็นถึงเทรนด์ของผู้บริโภคที่หันมาให้คุณค่าและสนับสนุนแบรนด์เสื้อผ้าสัญชาติไทยอย่างต่อเนื่อง

เสื้อผ้าที่เป็นมากกว่าเสื้อผ้า สู่การสะท้อนถึงอัตลักษณ์อย่างชัดเจน

ปัจจัยที่ส่งผลให้เสื้อผ้าแบรนด์ไทยใน Top 10 ประสบความสำเร็จด้านการดึงความสนใจของผู้ใช้โซเชียลหรือผู้บริโภคได้ ไม่ได้มาจากดีไซน์หรือคุณภาพเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก "กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ (Branding Strategy)" ที่ทำให้เสื้อผ้าเป็นตัวแทนที่สะท้อนตัวตนและไลฟ์สไตล์ของแบรนด์และผู้สวมใส่ได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้ Influencer Endorsement, การปั้นสินค้าที่เป็น MVP (Hero Product) หรือการสื่อสารผ่านแคมเปญที่แสดงจุดยืนของแบรนด์ กลยุทธ์เหล่านี้ล้วนทำงานเพื่อดึงดูดผู้บริโภค ทั้งกลุ่มที่มีตัวตนตรงกับแบรนด์และกลุ่มที่ปรารถนาจะมีภาพลักษณ์เช่นนั้น

สิ่งนี้ตอกย้ำให้เห็นว่า ในปี 2568 เสื้อผ้าจึงไม่ใช่แค่เครื่องนุ่งห่ม แต่เป็นสัญลักษณ์ที่ผู้สวมใส่ใช้บอกเล่าว่า "ฉันคือใคร"

จาก #เสื้อยืด สู่ไลฟ์สไตล์แอคทีฟ

#เสื้อยืด เป็น Hashtag ที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดในกลุ่มเสื้อผ้าแบรนด์ไทย แต่กระแสการถูกพูดถึงเริ่มขยับไปสู่กลุ่มเสื้อผ้าที่เกี่ยวข้องกับการทำกิจกรรมและการออกกำลังกายมากขึ้น โดยเฉพาะ #เสื้อออกกำลังกาย #เสื้อวิ่ง และ #เสื้อกีฬา ซึ่งการพูดถึงเสื้อผ้ากลุ่มนี้มักเชื่อมโยงกับการใช้งานจริง เช่น ในชีวิตประจำวัน สะท้อนให้เห็นว่าการเลือกเสื้อผ้าไม่ได้มองแค่เรื่องดีไซน์เพียงอย่างเดียว แต่เริ่มให้ความสำคัญกับความสบายในการสวมใส่ และการใช้งานที่เหมาะกับการใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้น

เมื่อมองลึกลงไป จะพบว่าการพูดถึงเสื้อผ้าในกลุ่มนี้มักเชื่อมโยงกับพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจริง เช่น การใส่ออกกำลังกายแล้วสามารถใช้ต่อในชีวิตประจำวันได้ ความสำคัญของความสบายและการระบายอากาศระหว่างทำกิจกรรม และการรองรับกิจกรรมก่อนหรือหลังเลิกงาน สะท้อนว่าแฟชันการแต่งตัวกำลังขยับไปสู่รูปแบบที่เข้ากับการทำกิจกรรม และการใช้ชีวิตที่แอคทีฟมากขึ้น

ทิศทางเสื้อผ้าแบรนด์ไทย ในวันที่การแต่งตัว "ต้องไปได้มากกว่าเดิม"

ภาพรวมทั้งหมดสะท้อนว่า เสื้อผ้าแบรนด์ไทยกำลังก้าวข้ามกรอบเดิม ๆ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปของผู้คน จากแฟชั่นหรือไอเท็มพื้นฐาน สู่การเป็นเสื้อผ้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์จริงของผู้บริโภค ตั้งแต่การแต่งตัวในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงการออกกำลังกายและการดูแลสุขภาพ

ภาพที่เห็นจึงไม่ใช่แค่การเพิ่มไลน์สินค้าใหม่ แต่เป็นแนวโน้มทิศทางของตลาดที่กำลังขยับไปสู่เสื้อผ้าที่ "ใส่สบาย ใช้งานได้จริง และสะท้อนตัวตนของคนยุคใหม่"

ข้อมูลทั้งหมดที่นำมาวิเคราะห์หา Insight รวบรวมจาก dxt:360 (Social Listening and Media Monitoring Platform) ของบริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 1 กันยายน - 15 ธันวาคม 2568

หมายเหตุ: ข้อมูลและ Insight ที่นำเสนอในบทความนี้ อ้างอิงจากบทสนทนาและการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดียในช่วงเวลาที่ทำการเก็บข้อมูลเท่านั้น ซึ่งอาจได้รับอิทธิพลจากกิจกรรมทางการตลาด อีเวนต์ หรือแคมเปญที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว

เกี่ยวกับ dxt:360

dxt:360 เป็นแพลตฟอร์มที่สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลข่าวสารได้ทั้งจากโซเชียลมีเดีย สื่อออนไลน์ สื่อบรอดคาสท์ และสื่อสิ่งพิมพ์ ไม่ว่าจะเป็นเสียงของผู้บริโภค (Consumer Voices) คอนเทนต์จาก Influencers และ KOLs ไปจนถึงข่าวจากสื่อมวลชน ที่รวบรวมเข้ามาอยู่บนแพลตฟอร์มเดียวกัน มีการนำเสนอข้อมูลในรูปแบบ Dashboard ที่สามารถปรับเปลี่ยนตามความต้องการของผู้ใช้งานแต่ละราย (Customizable Dashboard) จึงทำให้เข้าใจและเห็น Insight ในประเด็นต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังช่วยให้เห็นทิศทางการสื่อสารของแบรนด์ต่าง ๆ สามารถนำมาต่อยอดเพื่อพัฒนากลยุทธ์การสื่อสารขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ