บทความเรื่อง "ทิศทางการลงทุนภาครัฐและเอกชน ปี 2550" โดย ดร.อำพน กิตติอำพน เลขาธิการ สศช.

ข่าวเศรษฐกิจ Monday February 26, 2007 15:32 —สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

1. ภาพรวมสถานการณ์การลงทุนในประเทศไทย: 1.1 ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติต่อประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 20 ในปี 2548 จากผลจากการสำรวจความเห็นของนักลงทุนรายใหญ่ของโลกที่มีต่อประเทศทั้งหมด 68 ประเทศ(1) พบว่า ไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุนในลำดับรองจากประเทศจีน อินเดีย และมาเลเซีย (ตารางที่ 1) แต่อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจความเห็นของบริษัทข้ามชาติญี่ปุ่นพบว่า ไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุนเป็นอันดับ 3 รองมาจากเพียงสหรัฐอเมริกา และจีน(2) ตารางที่ 1. ลำดับความเชื่อมั่นในการลงทุน (FDI Confidence Ranking) 2001-2005 2001 2002 2003 2004 2005 Thailand 14 20 16 20 20 China 2 1 1 1 1 India 7 15 6 3 2 Malaysia 22 .. 23 15 .. ที่มา: Global Business Policy Council 2005 1.2 การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศมีความสำคัญต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะยาว เนื่องจาก FDI, การลงทุน การส่งออกและ GDP มีความสัมพันธ์และเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกัน โดยสัดส่วนของเงินทุนไหลเข้า (Gross FDI or FDI Inflow) ต่อการลงทุนเอกชนในช่วงปี 2544-2548 อยู่ในระดับที่สูงแม้ว่ามีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องจากร้อยละ 61.5 ในปี 2544 เป็นร้อยละ 39.9(3)(แผนภาพที่ 1) สำหรับในช่วง9 เดือนแรกของปี 2549สัดส่วนเงินลงทุนไหลเข้าต่อการลงทุนเอกชนอยู่ที่ร้อยละ 29.6 ซึ่งในการที่ Gross FDI เป็นองค์ประกอบสำคัญของการลงทุนภาคเอกชนจึงมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ หากการไหลเข้าของเงินลงทุนจากต่างประเทศ (Gross FDI) ตกต่ำอย่างต่อเนื่องจะมีผลเชิงลบต่อต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะยาวได้ **********************************************************************************************************หมายเหตุ (1) The Foreign Direct Investment Confidence Index เป็นการสำรวจความเห็นของผู้บริหารบริษัทขนาดใหญ่ของโลก ซึ่งดำเนินการทุกปี โดย A.T. Kearney (2) JETRO (2006) "FY 2005 Survey of Japanese Firms' International Operations", Tokyo: Japan External Trade Organization. (3) คำนวณจาก Nominal term, และภายใต้นิยามใหม่ที่ Reinvested earnings ถูกนับรวมเป็นส่วนหนึ่งของ FDI ในบัญชี Financial account ********************************************************************************************************** 1) มูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศในรูปเงินทุนไหลเข้า (Inflows or Gross FDI) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นภายหลังจากการชะลอตัวอย่างมากในปี 2545 แต่เป็นการขยายตัวในอัตราที่ลดลงในช่วงปี 2547-2548 (แผนภาพที่ 2 และตารางที่ 2) ในขณะเดียวกัน มีการเพิ่มขึ้นของมูลค่าการไหลออกของ FDI เช่นกัน จึงเป็นผลทำให้มูลค่าการลงทุนสุทธิเพิ่มขึ้นไม่มากนัก ทั้งนี้ อัตราการขยายตัวของการไหลออกของ FDI เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในปี 2545 และ 2547 คิดเป็นร้อย 22 และ 33 ตามลำดับ (ตารางที่ 2) แต่อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญของการลงทุนจากต่างประเทศ คือ การติดตามความเคลื่อนไหวของ Gross FDI ซึ่งหากมีแนวโน้มมูลค่าและอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่องจะส่งผลต่อกระตุ้นระบบเศรษฐกิจ ทั้งด้านการลงทุน ส่งออกและจ้างงาน ทั้งนี้ ไม่ควรมีข้อกังวลมากนักต่อการไหลออกของ FDI เนื่องจากในทางปฏิบัตินักลงทุนต่างชาติมักขายหุ้นให้กับคนไทยเพื่อดำเนินการต่อ ดังนั้น Physical assets จากการลงทุนจากต่างประเทศจะยังคงอยู่ในประเทศไทย สำหรับสาเหตุที่ทำให้เงินทุนไหลเข้าตั้งแต่ปี 2545 มีการขยายตัวในอัตราที่ชะลอตัว เป็นผลมาจาก(4) (1) ธุรกิจส่วนใหญ่ยังคงมีกำลังการผลิตส่วนเกินโดยเฉพาะในหมวดอุตสาหกรรม (เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่ง) ซึ่งได้ขยายการผลิตไปแล้วในปี 2543-2544 (2) การนำเข้าเงินกู้ในเครือ (Direct loan) ปรับลดลงเนื่องจากความต้องการเงินกู้จากบริษัทแม่เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ลดลง (3) การเปลี่ยนมาใช้สภาพคล่องภายในประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ และ (5) บริษัทเริ่มมีกำไรและกำไรสะสมจึงนำมาใช้แทนการนำเข้าเงินลงทุนประเภทเงินกู้ในเครือ *************************************************************************************************************หมายเหตุ (4) ธนาคารแห่งประเทศไทย บทความเรื่อง อดีต ปัจจุบัน และอนาคตของการลงทุนโดยตรงจากตางประเทศของไทย ************************************************************************************************************* ตารางที่ 2. อัตราการขยายตัวของ Inflows, Outflows, and Net FDI Growth of... (y-o-y, %) 2002 2003 2004 2005p Net FDI -32.43 51.42 -4.05 49.56 Inflows (Gross FDI) -3.09 9.37 16.65 14.10 Outflows 22.43 -10.81 33.51 -6.66 ที่มา: ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย 2) การลงทุนโดยตรงสุทธิจากต่างประเทศ (Net FDI) ในอุตสาหกรรมยังคงขยายตัวคิดเป็นร้อยละ 8.87(y-o-y ปี 2548/2547) โดยมีอัตราการขยายตัวเป็นบวกในอุตสาหกรรม อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า สิ่งทอ เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่ง เคมีภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียม นอกจากนี้ในช่วงไตรมาสที่ 1 ถึงไตรมาสที่ 3 ของปี 2549 การลงทุนจากต่างประเทศสุทธิในอุตสาหกรรมส่งออกสำคัญ ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้ายังคงมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ดังที่เห็นได้จากมูลค่าการลงทุนสุทธิในช่วงเวลาดังกล่าวมีมูลค่ารวมสูงถึง 711.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตารางที่ 3) ตารางที่ 3. การลงทุนจากต่างประเทศสุทธิ จำแนกตามอุตสาหกรรม (US$, Millions)) y-o-y 2004 2005p 05/04 2006 (%) Q1 p Q2 p Q3 p Industry 3,786.0 4,122.0 8.87 1,170.1 835.8 1,056.3 Food & sugar 337.3 -10.2 -103.02 -1.7 16.7 -31.9 Textiles 38.0 86.4 127.37 28.7 22.4 23.1 Metal & non metallic 480.1 246.7 -48.61 72.3 103.8 121.9 Electrical appliances 797.0 861.2 8.06 244.5 218.2 248.8 Machinery & transport equipment 1,280.3 1,509.9 17.93 438.8 298.2 370.0 Chemicals 387.3 464.7 19.98 99.8 106.4 75.1 Petroleum products 22.5 351.9 1,464.00 81.7 23.2 67.4 Construction materials 45.1 9.1 -79.82 1.1 5.4 -1.1 Others 398.4 602.3 51.18 204.9 41.5 182.9 Financial institutions 221.7 662.4 198.78 120.1 129.6 119.2 Trade 182.9 330.9 80.92 551.2 257.7 273.5 Construction 70.7 38.7 -45.26 8.4 4.0 12.7 Mining & quarrying 192.3 -556.7 -389.50 -103.9 -86.6 -276.5 Agriculture 5.7 2.6 -54.39 1.2 0.9 1.1 Services 303.3 189.1 -37.65 250.6 83.9 43.3 Investment -236.7 172.5 -172.88 2,259.5 -3.9 -2.0 Realestate -344.0 1,067.5 -410.32 295.6 406.6 380.7 Others 774.1 1,383.1 78.67 -343.1 140.0 259.8 Total 4,956.0 7,412.1 49.56 4,209.7 1,767.9 1,867.9 ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย 1.3 ทิศทางการลงทุนของประเทศไทยในปี 2550 1) การลงทุนรวมในปี 2550 จะขยายตัวที่ร้อยละ 6.2 โดยการลงทุนภาคเอกชนมีอัตราการขยายตัวที่ร้อยละ 7 และการลงทุนภาครัฐมีการขยายตัวที่ร้อยละ 4 (ประมาณการเศรษฐกิจของ สศช. ณ วันที่ 4 ธันวาคม 2549 และรายละเอียดปรากฎในภาคผนวก) ในขณะที่จากการคาดการณ์ภาวะการลงทุนของธนาคารโลกได้ชี้ ภาวะการขยายตัวการลงทุนในปี 2549 และ2550 อยู่ในระดับต่ำกว่าการคาดการณ์ของ สศช. โดยได้ประมาณการอัตราการขยายตัวของการลงทุนรวมไว้ไม่เกินร้อยละ 5 ในทั้งสองปีดังกล่าว ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการลงทุนภาคเอกชนด้านเครื่องมือเครื่องจักร และการลงทุนก่อสร้างในปี 2549 มีการชะลอตัวลงอย่างชัดเจน (แผนภาพที่ 3) 2) การฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชนในปี 2550 ยังไม่มีแนวโน้มที่ชัดเจน คาดว่านักลงทุนส่วนหนึ่งยังชะลอการตัดสินใจจนกว่าจะเห็นความชัดเจนของรัฐบาลชุดต่อไป สำหรับนักลงทุนต่างชาติยังคงมีข้อกังวลในประเด็นการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติธุรกิจต่างด้าวซึ่งมีประเด็นการพิจารณาทั้งในเรื่องสิทธิการออกเสียง ความเป็นเจ้าของของผู้ถือหุ้นต่างชาติ และการอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติดำเนินธุรกิจในกิจการที่เคยคุ้มครองไว้เฉพาะคนไทย (การปรับปรุงบัญชีที่ 3 ของ พระราชบัญญัติฯ) นอกจากนี้ ตัวชี้วัดการลงทุนในระยะที่ผ่านมาแสดงว่า ความเชื่อมั่นของนักลงทุนยังอยู่ในระดับต่ำ และอัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง (แผนภาพที่ 4) แต่อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับก่อนวิกฤตเศรษฐกิจ นั่นคือ อัตราการใช้กำลังการผลิตในหลายอุตสาหกรรมมีระดับสูงเกินร้อยละ 80 ซึ่งอาจเป็นสัญญาณที่ดีอันหนึ่งที่ชี้ให้เห็นถึงการเพิ่มการลงทุนในบางอุตสาหกรรมที่มีระดับการใช้กำลังการผลิตสูงในอนาคตอันใกล้นี้ สำหรับ เครื่องชี้วัดการลงทุนในระยะสั้นและปานกลางคือ วงเงินทุนของโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุน และวงเงินได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนแล้ว มีการเปลี่ยนแปลงลดลงร้อยละ 32.7 และร้อยละ 43.8 ตามลำดับในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2549 (ตารางที่ 4) ดังนั้นการลงทุนที่แท้จริงในปี 2550 (และระยะต่อเนื่อง 2-3 ปี) อาจยังไม่ฟื้นตัวได้เต็มที่ ตารางที่ 4. ภาพรวมการลงทุนที่ขอรับการส่งเสริมจาก BOI การส่งเสริมการลงทุนโดย BOI 2548 10 เดือน (มค.- ต.ค.) 2548 2549 วงเงินขอรับการส่งเสริม (พันล้านบาท) 674.3 630.9 424.8 (5.8) (34.6) (-32.7) วงเงินที่ได้รับอนุมัติส่งเสริม (พันล้านบาท) 571.3 486.3 272.9 (-4.9) (50.8) (-43.8) ที่มา สศช. ภาวะเศรษฐกิจไตรมาสสาม และแนวโน้มปี 2549-2550 หมายเหตุ: ตัวเลขในวงเล็บคืออัตราการขยายตัวมีหน่วยเป็นร้อยละ 3) แม้ว่าภาพรวมการลงทุนที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI มีแนวโน้มลดลง แต่กลับมีการขยายตัวของการลงทุนที่ได้รับอนุมัติฯ ในอุตสาหกรรมสำคัญอาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเลคทรอนิกส์ เคมีภัณฑ์ กระดาษและพลาสติคยังมีการขยายตัวในระยะ 10 เดือนแรกของปี 2549 ซึ่งเป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับการลงทุนสุทธิจากต่างประเทศในอุตสาหกรรมดังกล่าว ซึ่งจะเครื่องชี้การลงทุนที่แท้จริงในอุตสาหกรรมดังกล่าวในระยะ 2-3 ปีถัดจากนี้ โดยที่จะเป็นการลงทุนเพิ่มขึ้นเฉพาะในบางสาขาอุตสาหกรรมตามที่ระบุข้างต้นเป็นส่วนใหญ่ (ตารางที่ 5) ตารางที่ 5. การลงทุนที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมลงทุนจาก BOI (Jan-Oct) (Jan-Oct) 2002 2003 2004 2005 2005 2006 Total (Billion Baht) 162.5 283.8 600.8 571.3 486.3 260.8 (74.6) (111.7) (-4.9) (-46.4) Agriculture 24.9 10.6 9.5 6.3 4.6 8.6 (-57.4) (-10.4) (-33.7) (87.0) Mining, ceramics and base metal 1.3 6 10.7 18.4 26.1 1 (361.5) (78.3) (72.0) (-96.2) Lightindustry 11.4 4.5 3.1 2.2 2.2 3.5 (-60.5 (-31.1) (-29.0) (59.1) Metal products,machinery and transport equipment 17.5 24.5 12.5 25.5 29.5 13.2 (40.0 (-49.0) (104.0) (-55.3) Electronics and electrical appliance 18.1 15.6 15.7 15.6 11 18 (-13.8) (0.6) (-0.6) (63.6) Chemical, paper and plastic 10.5 17.4 20.3 9.7 6.1 39.6 (65.7 (16.7) (-52.2) (549.2) Services and infrastructure 16.4 21.4 28.3 22.2 20.4 16.2 (30.5 (32.2) (-21.6) (-20.6) ที่มา ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน อ้างอิงใน ธนาคารโลก 2006 Thailand Economic Monitor(November) หมายเหตุ: ตัวเลขในวงเล็บคืออัตราการขยายตัวมีหน่วยเป็นร้อยละ 4) การลงทุนภาครัฐในปี 2550: การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐจะยังคงไม่เพิ่มขึ้นมากนัก นับตั้งแต่ไตรมาสที่สามของปี 2549 เป็นต้นมา เนื่องจากอยู่ระหว่างการรอประกาศใช้พระราชบัญญัติ งบประมาณปี 2550 สำหรับภาพรวมงบประมาณรายจ่ายฯ ปี 2550 และโครงการการลงทุนของรัฐที่สำคัญ มีดังนี้ (1) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณปี 2550 มีมูลค่ารวม 1,566,200 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 18.5 ของ GDP ในปี 2550 โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.2 จากปีงบประมาณที่ผ่านมา ทั้งนี้มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อการพัฒนาคนและสังคมที่มีคุณภาพ มีสัดส่วนสูงสุดคิดเป็นร้อยละ 37.9 รองลงมาคืองบประมาณเพื่อการรักษาความมั่นคงและธรรมาภิบาล และการปรับปรุงการบริหารงานภาครัฐคิดเป็นร้อยละ 22.3 และ 21.1 ตามลำดับ (2) โครงการลงทุนที่สำคัญยังคงมุ่งเน้นการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Physical Infrastructure) โดยเฉพาะการลงทุนเพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัยและระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน (Mass Transit) ซึ่งมีการตั้งงบประมาณเพื่อดำเนินการในปี 2550 แล้ว อาทิ โครงการบ้านเอื้ออาทร ระยะที่ 3, 4 และ 5 และโครงการบ้านมั่นคง รวมเป็นเงินงบประมาณ 6,958.6 ล้านบาท และมีโครงการรถไฟฟ้าที่ได้รับการจัดสรรเงินงบประมาณในปี 2550 แล้ว และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในปีนี้ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง สีน้ำเงิน สีเขียว และสีแดง (ตารางที่ 6 ) ตารางที่ 6. โครงการลงทุนสำคัญที่ได้รับการจัดสรรเงินประมาณในปี 2550 หน่วย : ล้านบาท โครงการ เงินงบประมาณ เงินนอกงบประมาณ ที่อยู่อาศัย1. โครงการบ้านเอื้ออาทร ระยะที่ 3, 4 และ 5 5,683.00 52,463.27 2. โครงการบ้านมั่นคง 1,275.60 1,652.00 ระบบรถไฟฟ้า1. โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ 1,433.00 - 2. โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค 1,450.00 - 3. โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงบางซื่อ - ท่าพระ 412.00 - 4. โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงอ่อนนุช - สมุทรปราการ 220.00 - 5. โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ 250.00 - 6. โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงช่วง บางซื่อ - รังสิต 100.00 - 7. โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วง สุวรรณภูมิ-มักกะสัน-พญาไทย - 7,151.00- หมายเหตุ 1. ข้อมูลส่วนใหญ่ได้จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2550 (ก่อนเข้ากรรมาธิการ) 2. เงินนอกงบประมาณได้แก่ เงินรายได้ และเงินกู้ 3. เงินงบประมาณจัดสรรสำหรับโครงการระบบรถไฟฟ้าโครงการที่ 1 - 6 เป็นค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน และค่าจ้างที่ปรึกษา นอกจากนี้ รัฐยังให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ (Intermediate Infrastructure) เช่น โครงการลงทุนด้านสาธารณสุขและการศึกษา ซึ่งมีกิจกรรมและการลงทุนที่สำคัญในปี 2550 เช่น กิจกรรมการให้บริการสุขภาพในระบบหลักประกัน (เงินงบประมาณจัดสรร 22,275.05 ล้านบาท) และการลงทุนก่อสร้าง ปรับปรุง ซ่อมแซมอาคารเรียน และจัดหาคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงสำหรับการศึกษาภาคบังคับ (เงินงบประมาณจัดสรรเพื่อการลงทุนจำนวน 3,672.34 ล้านบาท) เป็นต้น 2. การกระตุ้นการลงทุนในระยะยาวนั้นจำเป็นต้องมีบรรยากาศการลงทุนในประเทศที่ดี แม้ว่าในระยะสั้นและปานกลางยังคงมีปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการลงทุนและบรรยากาศการลงทุนในประเทศไทย อาทิ การแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติธุรกิจต่างด้าวและการควบคุมการเก็งกำไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการด้าน Capital control ซึ่งแม้ว่าจะมีผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดพันธบัตร (Bond) ไม่มากนัก เนื่องจากผู้ค้าในตลาดฯ ถึงร้อยละ 90 เป็นคนไทย แต่มาตรการนี้จะมีผลกระทบต่อการลงทุนและบรรยากาศการลงทุนต่อการนำเข้าเงินกู้ในเครือ (Direct loan) รวมทั้งการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์โดยเฉพาะการซื้อขายใน Mutual funds ซึ่งมักส่งผลต่อลงทุนต่อเนื่องในตลาดอสังหาริมทรัพย์ด้วย ดังนั้น หากสถานะของค่าเงินบาทเริ่มคงที่และอยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้ว การพิจารณาผ่อนปรนหรือยกเลิก Capital control จะส่งผลดีต่อการลงทุนของประเทศไทยได้ แต่อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวแล้วปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนที่ดีและส่งผลให้มีการขยายตัวการลงทุนเพิ่มขึ้นนั้นมีองค์ประกอบจากหลากหลายปัจจัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากปัจจัยที่ส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนที่ดีนั้น ต้องใช้ระยะเวลาในการเตรียมการหรือปรับปรุงแก้ไข อาทิ การปรับปรุงกฎระเบียบข้อบังคับ การผลิตแรงงานที่มีคุณภาพและตรงตามความต้องการของอุตสาหกรรมและบริการ และการจัดบริการโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งหากไม่ได้มีการดำเนินการแก้ไข อย่างจริงจังแล้ว อาจส่งผลในระยะยาวโดยทำให้การลงทุนในประเทศอาจจะมีโอกาสฟื้นตัวได้ยาก สำหรับผลการศึกษาของโครงการสำรวจระดับการเพิ่มผลผลิตและบรรยากาศการลงทุนในประเทศไทย ซึ่งดำเนินการโดยธนาคารโลกและสศช. มีประเด็นสำคัญในส่วนที่เกี่ยวข้องบรรยากาศการลงทุน ดังนี้ 2.1 อุปสรรคของประกอบธุรกิจในประเทศไทย 1) ผู้ประกอบกิจการในประเทศไทยระบุว่าปัญหาด้านกฎระเบียบข้อบังคับของภาครัฐ การขาดแคลนแรงงาน และความไม่เพียงพอของโครงสร้างพื้นฐานเป็นอุปสรรคสำคัญของการดำเนินธุรกิจหรือการลงทุนในประเทศไทย (แผนภาพที่ 6) และผู้ประกอบกิจการยังได้ระบุถึงปัญหาด้านทักษะและการศึกษาของแรงงาน รวมทั้งกฎระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับอัตราภาษี ขั้นตอนด้านภาษี และขั้นตอนด้านการนำเข้าและส่งออก (ศุลกากร) เป็นอุปสรรคสำคัญในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย (แผนภาพที่ 7) ทั้งนี้ จากการสอบถามทั้งที่ใช้แบบสอบถามปลายเปิดและแบบสอบถามปลายปิด(5)ให้ผลเป็นในทิศทางเดียวกัน ********************************************************************************************************หมายเหตุ (5) แบบสำรวจคำถามปลายปิดได้กำหนดประเด็นอุปสรรคไว้ 18 ข้อที่เป็นข้อจำกัดต่อการดำเนินธุรกิจ ซึ่งเมื่อได้นำผลกาสำรวจมาจัดลำดับตามความถี่ที่กิจกิจการได้ตอบว่าเป็นปัญหาอุปสรรคที่มีความรุนแรงมากถึงมากที่สุดแล้ว พบว่า มีประเด็นอุปสรรค 10 ข้อ ตามที่ปรากฏใน******************************************************************************************************** 2) ปัญหาและอุปสรรคต่อการลงทุนทั้งด้านกฎระเบียบข้อบังคับ แรงงานคุณภาพขาดแคลน และความไม่เพียงพอของโครงสร้างพื้นฐานมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นเมื่อขนาดของกิจการใหญ่ขึ้น (ตารางที่ 8) และมีความรุนแรงของปัญหาในระดับที่ไม่แตกต่างกันนักเมื่อเปรียบเทียบระหว่างกิจการที่มีคนไทยเป็นเจ้าของและกิจการที่มีคนต่างชาติเป็นเจ้าของ ยกเว้น ปัญหาด้านขั้นตอนด้านศุลกากรและกฎระเบียบด้านการค้าซึ่งมีระดับความรุนแรงสูงกว่าในกิจการที่มีคนต่างชาติเป็นเจ้าของ 2.2 การปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเป็นเรื่องจำเป็น ในระยะที่ผ่านมา (พฤษภาคม-สิงหาคม 2549) สศช.ได้เป็นแกนหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมส่งเสริมการลงทุน ร่วมกันจัดทำข้อเสนอแนวทางการปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนของประเทศ โดยมีสาระสำคัญของข้อเสนอแนวทางฯ ดังนี้ (อนึ่ง ขณะนี้ สำนักงานคณะกรรมส่งเสริมการลงทุนอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างสำนักงานฯ ด้วย) 1) ในภาพรวมประเทศไทยได้ให้การส่งเสริมการลงทุนในส่วนของมาตรการทางการเงิน และมาตรการทางภาษีมากพอสมควรและไม่น้อยกว่าประเทศคู่แข่งขัน ทั้งนี้ มาตรการทางการเงินและมาตรการทางภาษีเพื่อการส่งเสริมการลงทุนยังคงมีความจำเป็น โดยต้องคำนึงถึงการกำหนดสิทธิพิเศษให้กับอุตสาหกรรม บริการที่มีศักยภาพและอุตสาหกรรมใหม่ เช่น ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมชีวภาพ (Bio-Fuel & Bio-Material) ธุรกิจโรงแรม และที่อยู่อาศัย (Housing) และเพิ่มเติมสิทธิประโยชน์เพื่อรองรับการขยายการลงทุน (Re-investment) สำหรับผู้ประกอบการเดิม 2) มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีจะเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญในระยะยาวในการดึงดูดการลงทุนตรงให้สอดคล้องกับทิศทางที่กำหนดไว้ในกรอบยุทธศาสตร์การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ (เกษตร อุตสาหกรรมและบริการ) รวมทั้งสนับสนุนแนวทางในการขับเคลื่อนให้ประเทศเข้าสู่เศรษฐกิจฐานความรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับข้อเสนอแนวทางการปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุน ที่ควรผนวกรวมกับมาตรการส่งเสริมการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนจำเป็นต้องอยู่บนพื้นฐานของหลักการ 4 ประการ ได้แก่ การขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ (Stability) การสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรม (Value creation and innovation) การเชื่อมโยงเศรษฐกิจข้ามพรมแดน (Cross-border cooperation) และ การลงทุนในสังคมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว (Proactive social investment) โดยมีรายละเอียดของข้อเสนอฯ ดังนี้ (1) การเชื่อมโยงมาตรการส่งเสริมการลงทุนกับปัจจัยสนับสนุนด้านแรงงาน * กระทรวงแรงงานควรจัดทำฐานข้อมูลเพื่ออำนวยความสะดวกในการจ้างงาน และนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในการขออนุญาตทำงานในระบบ Single Window * ร่วมมือกับหน่วยผลิตและฝึกอบรม ได้แก่ สถาบันเฉพาะทาง สถาบันฝึกอบรมทั้งของภาครัฐและเอกชน เป็นต้น เพื่อเตรียมคนรองรับการลงทุนที่จะเกิดขึ้น (2) การสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งองค์ความรู้และการวิจัยพัฒนาเพื่อไปสู่ Knowledge-Based Economy * ส่งเสริม Regional Innovation System เพื่อสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการพัฒนาองค์ความรู้ นวัตกรรม และการรวมกลุ่มธุรกิจ รวมทั้งการพัฒนา Technology Licensing Network โดยให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นแกนกลาง * จัดให้มี Matching Fund สำหรับการสร้างนวัตกรรม โดยกองทุนหรือสถาบันที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการทำวิจัย สนับสนุนบุคลากร และการถ่ายทอดเทคโนโลยี * ส่งเสริมการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาที่ถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งป้องกันการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา โดยให้กระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ดูแล (3) การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน ที่ดิน ไฟฟ้า ระบบโลจิสติกส์ รองรับการลงทุน * กำหนดเขตพื้นที่พิเศษและอุตสาหกรรม ภายใต้แนวคิด คลัสเตอร์ โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริม (ยังมีต่อ)

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ