นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เปิดเผยว่า อันดับความสามารถ
ในการแข่งขันของประเทศไทยตามการจัดลำดับของ World Economic Forum (WEF) โดยรวมเลื่อนขึ้น 5 อันดับ จากเดิมซึ่งอยู่
อันดับที่ 37 จากจำนวน 80 ประเทศในปี 2545 มาเป็นอันดับที่ 32 ในปี 2546 จากการจัดอันดับ 102 ประเทศทั่วโลก ซึ่งสอดคล้อง
กับการจัดลำดับของ IMD ที่เลื่อนอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยขึ้นจากอันดับที่ 13 ในปี 2545 มาเป็นอันดับที่ 10
ในปี 2546 จากกลุ่มประเทศที่มีประชากรมากกว่า 20 ล้านคน ดังนั้น 2 สถาบันที่มีชื่อเสียงของโลกด้านการจัดลำดับขีดความสามารถ
ของประเทศได้เลื่อนอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในทิศทางที่ปรับตัวดีขึ้น
ในการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขัน WEF ได้แบ่งกลุ่มปัจจัยออกเป็น 3 กลุ่มคือ (1) ปัจจัยแวดล้อมทางเศรษฐกิจ
มหภาค (2) สถาบันภาครัฐ และ (3) ระดับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยในปีนี้ทาง WEF ได้ปรับปรุงสูตรคำนวณและปรับปรุง
ตัวแปรในกลุ่มปัจจัยแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาคและสถาบันภาครัฐให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
สำหรับในกรณีของไทยนั้น ปัจจัยทั้งสามกลุ่มมีส่วนทำให้อันดับการแข่งขันของไทยดีขึ้น กล่าวคือ ทางด้านสภาวะแวดล้อม
เศรษฐกิจมหภาค ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อันดับการแข่งขันดีขึ้นมาจาก ความมีเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ ประสิทธิภาพการใช้จ่ายของ
รัฐบาล และอันดับความน่าเชื่อของประเทศ ซึ่งเศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพมากกว่าปี 2545
ทางด้านสถาบันภาครัฐ ปรับตัวดีขึ้นเช่นกันทั้งในเรื่องของระดับการคอร์รัปชั่นและการปรับปรุงแก้ไขข้อขัดแย้งทางกฎหมาย
ซึ่งปัจจัยที่มีส่วนเสริมทำให้อันดับดีขึ้น ที่สำคัญได้แก่ การให้การสนับสนุนนโยบายรัฐบาล การคุ้มครองลิขสิทธิ์ และการลดลงของการ
ก่ออาชญากรรม
ส่วนอันดับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศของประเทศปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากการส่งเสริมให้มีการใช้เทคโนโลยี
สารสนเทศ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีต่างประเทศ การร่วมมือระหว่างอุตสาหกรรมและมหาวิทยาลัย และการยอมรับการนำ
เทคโนโลยีมาใช้ในธุรกิจ และที่เพิ่มเติมขึ้นมาและถือเป็นจุดแข็งคือ การส่งเสริมการใช้อินเทอร์เน็ตในโรงเรียน
ในระดับธุรกิจ WEF ได้สำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเอกชนชั้นนำของประเทศ ผลปรากฏว่า
ลำดับความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจสูงขึ้น 4 อันดับ จากอันดับที่ 35 ในปี 2545 มาเป็นอันดับที่ 31 ในปี 2545 โดยที่
แผนการดำเนินธุรกิจมีความก้าวหน้า และคุณภาพของสิ่งอำนวยความสะดวกทางธุรกิจปรับตัวดีขึ้น ซึ่งการสำรวจดังกล่าวเป็นการสำรวจ
ปัจจัยแวดล้อมทางธุรกิจที่ประกอบด้วย
(1) คุณภาพของปัจจัยการผลิต
(2) การทำธุรกิจและสภาพคู่แข่งขัน
(3) คุณภาพของความต้องการภายในประเทศ และ
(4) ระดับของอุตสาหกรรมเชื่อมโยงต่าง ๆ
ความเห็น
อันดับความสามารถในการแข่งขันที่ปรับตัวดีขึ้นค่อนข้างมากในปีนี้ เป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจที่สามารถฟื้นตัวได้อย่าง
ต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ อย่างไรก็ดี ยังมีประเด็นที่จะต้องดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อให้ลำดับการแข่งขันของไทยปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
และเศรษฐกิจไทยมีความเข้มแข็งขึ้นในระยะยาว ที่สำคัญได้แก่
(1) เพิ่มโอกาสให้กับภาคธุรกิจให้สามารถขยายตัวได้อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างโอกาสให้กับธุรกิจใหม่
และการดึงเศรษฐกิจนอกระบบเข้าสู่ระบบ เพื่อให้เป็นฐานเศรษฐกิจใหม่และสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งอำนวยความสะดวกจากภาครัฐ
ได้อย่างทั่วถึง
(2) สร้างความเชื่อมั่นในการบริหารหนี้สาธารณะ ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือต่างประเทศจับตาดู
ได้แก่ การก่อหนี้ต่างประเทศเท่าที่จำเป็น การระดมทุนในประเทศจากเงินออมที่ยังมีอยู่มากในระบบเศรษฐกิจ และการดูแลหนี้ที่
ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ซึ่งจำเป็นที่จะต้องเร่งปรับปรุงศักยภาพเพื่อนำสินทรัพย์ที่เริ่มเสื่อมค่าตั้งแต่เกิดวิกฤตเป็นต้นมาให้สามารถนำกลับมา
ใช้ได้อีก ซึ่งจะเป็นการเพิ่มมูลค่าของสินทรัพย์อีกทางหนึ่ง
(3) เร่งพัฒนาและส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจใหม่
โดยการส่งเสริมการใช้อินเทอร์เน็ตให้กว้างขวางขึ้นทั้งในภาครัฐ ธุรกิจ โรงเรียน และประชาชน ซึ่งปัจจุบันมีความก้าวหน้าไป
ค่อนข้างมากแล้ว รวมทั้งส่งเสริมการศึกษาวิจัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
(4) เร่งผลิตกำลังคนที่มีความสามารถพิเศษและมีทักษะฝีมือในการผลิต โดยจัดทำ Talent and Skill Mapping
ให้สอดคล้องกับความต้องการแรงงาน โดยเน้นทั้งด้านปริมาณและคุณภาพให้สามารถรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจในอนาคต
ควบคู่กับการพัฒนาระบบและหลักสูตรการเรียนรู้ใหม่ให้กับแรงงานเพื่อให้สามารถปรับตัวและรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้ทัน
(โดยการ Retraining) เพื่อเพิ่มผลิตภาพแรงงานและสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพและเพื่อรายได้ในอนาคต
(5) ปรับปรุงกระบวนการและขั้นตอนการให้บริการของภาครัฐ ซึ่งจากผลการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารระดับสูง
ของภาคธุรกิจโดย WEF พบว่า ประสิทธิภาพการให้บริการภาครัฐยังเป็นปัญหาอันดับหนึ่งของไทย
ตารางที่ 1 ลำดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย
-----------------------------------------------------------------------------------------------
2545 2546
IMD* (จาก 30 ประเทศที่มีประชากรมากกว่า 20 ล้านคน) 13 10
WEF** (จาก 102 ประเทศ) 37 32
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ที่มา : IMD และ WEF
หมายเหตุ * IMD จัดกลุ่มใหม่ในปี 2546 โดยแยกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่มีประชากรมากกว่า 20 ล้านคน
และน้อยกว่า 20 ล้านคน
** ปี 2545-2546 WEF มีการเพิ่มจำนวนประเทศคือ ปี 2545 เพิ่มจาก 45 เป็น 80 ประเทศ
ปี 2546 เพิ่มจาก 80 เป็น 102 ประเทศ และปี 2546 มีการเปลี่ยนแปลง
สูตรและตัวแปรที่ใช้คำนวณใหม่
ตารางที่ 2 เปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศเอเซียที่สำคัญ
-----------------------------------------------------------------------------------------------
อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย
ปัจจัยแวดล้อมทางเศรษฐกิจ 64 23 27 60 1 26
- ความมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ 65 6 11 46 2 1
- ประสิทธิภาพการใช้จ่ายของรัฐบาล* 42 30 25 89 1 34
- ความน่าเชื่อถือของประเทศ** 80 27 35 54 17 41
สถาบันภาครัฐ 76 36 34 85 6 37
- การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางกฎหมาย 65 34 28 75 7 30
- ระดับการคอร์รัปชั่น 88 38 39 92 5 45
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี 78 6 20 56 12 39
- การค้นคิดสิ่งใหม่ ๆ 65 7 41 49 15 37
- ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศ 74 11 32 67 6 45
- การถ่ายทอดเทคโนโลยี 63 - 1 12 - 4
รวม 72 18 29 66 6 32
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ที่มา : Global Competitiveness Report 2003-2004
หมายเหตุ * ปรับตัวแปรใหม่จากเดิมที่ใช้สัดส่วนรายจ่ายรัฐบาลต่อ GDP เป็นประสิทธิภาพการใช้จ่ายโดยดูจาก 3 ตัวแปร
คือ (1) การให้เงินอุดหนุนแก่ธุรกิจ (2) การใช้เงินงบประมาณในทางที่มิชอบ และ (3) ความเชื่อมั่น
ในนักการเมืองในความซื่อสัตย์สุจริต
**ใช้ข้อมูล ณ เดือนมีนาคม 2546
ตารางที่ 3 ลำดับความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ
-----------------------------------------------------------------------------------------------
2545 2546
ลำดับความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ 35 31
- แผนการดำเนินธุรกิจของบริษัท 33 31
- คุณภาพของสิ่งอำนวยความสะดวกทางธุรกิจ 35 32
ตารางที่ 4 ปัญหา 5 อันดับแรกของการทำธุรกิจในกลุ่มเอเซียใหม่
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อันดับ อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย
1 คอร์รัปชั่น ประสิทธิภาพราชการ ประสิทธิภาพราชการ คอร์รัปชั่น การศึกษาของแรงงาน ประสิทธิภาพราชการ
2 ประสิทธิภาพราชการ ความไม่แน่นอนของ การศึกษาของแรงงาน ประสิทธิภาพราชการ ข้อจำกัดด้านแรงงาน คอร์รัปชั่น
นโยบาย
3 ความไม่แน่นอนของ ข้อจำกัดด้านแรงงาน การเข้าถึงเงินทุน โครงสร้างพื้นฐาน อัตราภาษี ความไม่แน่นอนของ
นโยบาย นโยบาย
4 การเข้าถึงเงินทุน การเข้าถึงเงินทุน ระเบียบเงินตรา อาชญากรรม วัฒนธรรมการทำงาน กฎระเบียบเกี่ยวกับ
ต่างประเทศ ภาษี
5 กฎระเบียบเกี่ยวกับภาษี กฎระเบียบเกี่ยวกับ ข้อจำกัดด้านแรงงาน ความไม่แน่นอนของ การเข้าถึงเงินทุน การศึกษาของแรงงาน
ภาษี นโยบาย
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ที่มา : Global Competitiveness Report 2003-2004
--สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ--
-พห-
ในการแข่งขันของประเทศไทยตามการจัดลำดับของ World Economic Forum (WEF) โดยรวมเลื่อนขึ้น 5 อันดับ จากเดิมซึ่งอยู่
อันดับที่ 37 จากจำนวน 80 ประเทศในปี 2545 มาเป็นอันดับที่ 32 ในปี 2546 จากการจัดอันดับ 102 ประเทศทั่วโลก ซึ่งสอดคล้อง
กับการจัดลำดับของ IMD ที่เลื่อนอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยขึ้นจากอันดับที่ 13 ในปี 2545 มาเป็นอันดับที่ 10
ในปี 2546 จากกลุ่มประเทศที่มีประชากรมากกว่า 20 ล้านคน ดังนั้น 2 สถาบันที่มีชื่อเสียงของโลกด้านการจัดลำดับขีดความสามารถ
ของประเทศได้เลื่อนอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในทิศทางที่ปรับตัวดีขึ้น
ในการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขัน WEF ได้แบ่งกลุ่มปัจจัยออกเป็น 3 กลุ่มคือ (1) ปัจจัยแวดล้อมทางเศรษฐกิจ
มหภาค (2) สถาบันภาครัฐ และ (3) ระดับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยในปีนี้ทาง WEF ได้ปรับปรุงสูตรคำนวณและปรับปรุง
ตัวแปรในกลุ่มปัจจัยแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาคและสถาบันภาครัฐให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
สำหรับในกรณีของไทยนั้น ปัจจัยทั้งสามกลุ่มมีส่วนทำให้อันดับการแข่งขันของไทยดีขึ้น กล่าวคือ ทางด้านสภาวะแวดล้อม
เศรษฐกิจมหภาค ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อันดับการแข่งขันดีขึ้นมาจาก ความมีเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ ประสิทธิภาพการใช้จ่ายของ
รัฐบาล และอันดับความน่าเชื่อของประเทศ ซึ่งเศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพมากกว่าปี 2545
ทางด้านสถาบันภาครัฐ ปรับตัวดีขึ้นเช่นกันทั้งในเรื่องของระดับการคอร์รัปชั่นและการปรับปรุงแก้ไขข้อขัดแย้งทางกฎหมาย
ซึ่งปัจจัยที่มีส่วนเสริมทำให้อันดับดีขึ้น ที่สำคัญได้แก่ การให้การสนับสนุนนโยบายรัฐบาล การคุ้มครองลิขสิทธิ์ และการลดลงของการ
ก่ออาชญากรรม
ส่วนอันดับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศของประเทศปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากการส่งเสริมให้มีการใช้เทคโนโลยี
สารสนเทศ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีต่างประเทศ การร่วมมือระหว่างอุตสาหกรรมและมหาวิทยาลัย และการยอมรับการนำ
เทคโนโลยีมาใช้ในธุรกิจ และที่เพิ่มเติมขึ้นมาและถือเป็นจุดแข็งคือ การส่งเสริมการใช้อินเทอร์เน็ตในโรงเรียน
ในระดับธุรกิจ WEF ได้สำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเอกชนชั้นนำของประเทศ ผลปรากฏว่า
ลำดับความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจสูงขึ้น 4 อันดับ จากอันดับที่ 35 ในปี 2545 มาเป็นอันดับที่ 31 ในปี 2545 โดยที่
แผนการดำเนินธุรกิจมีความก้าวหน้า และคุณภาพของสิ่งอำนวยความสะดวกทางธุรกิจปรับตัวดีขึ้น ซึ่งการสำรวจดังกล่าวเป็นการสำรวจ
ปัจจัยแวดล้อมทางธุรกิจที่ประกอบด้วย
(1) คุณภาพของปัจจัยการผลิต
(2) การทำธุรกิจและสภาพคู่แข่งขัน
(3) คุณภาพของความต้องการภายในประเทศ และ
(4) ระดับของอุตสาหกรรมเชื่อมโยงต่าง ๆ
ความเห็น
อันดับความสามารถในการแข่งขันที่ปรับตัวดีขึ้นค่อนข้างมากในปีนี้ เป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจที่สามารถฟื้นตัวได้อย่าง
ต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ อย่างไรก็ดี ยังมีประเด็นที่จะต้องดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อให้ลำดับการแข่งขันของไทยปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
และเศรษฐกิจไทยมีความเข้มแข็งขึ้นในระยะยาว ที่สำคัญได้แก่
(1) เพิ่มโอกาสให้กับภาคธุรกิจให้สามารถขยายตัวได้อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างโอกาสให้กับธุรกิจใหม่
และการดึงเศรษฐกิจนอกระบบเข้าสู่ระบบ เพื่อให้เป็นฐานเศรษฐกิจใหม่และสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งอำนวยความสะดวกจากภาครัฐ
ได้อย่างทั่วถึง
(2) สร้างความเชื่อมั่นในการบริหารหนี้สาธารณะ ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือต่างประเทศจับตาดู
ได้แก่ การก่อหนี้ต่างประเทศเท่าที่จำเป็น การระดมทุนในประเทศจากเงินออมที่ยังมีอยู่มากในระบบเศรษฐกิจ และการดูแลหนี้ที่
ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ซึ่งจำเป็นที่จะต้องเร่งปรับปรุงศักยภาพเพื่อนำสินทรัพย์ที่เริ่มเสื่อมค่าตั้งแต่เกิดวิกฤตเป็นต้นมาให้สามารถนำกลับมา
ใช้ได้อีก ซึ่งจะเป็นการเพิ่มมูลค่าของสินทรัพย์อีกทางหนึ่ง
(3) เร่งพัฒนาและส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจใหม่
โดยการส่งเสริมการใช้อินเทอร์เน็ตให้กว้างขวางขึ้นทั้งในภาครัฐ ธุรกิจ โรงเรียน และประชาชน ซึ่งปัจจุบันมีความก้าวหน้าไป
ค่อนข้างมากแล้ว รวมทั้งส่งเสริมการศึกษาวิจัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
(4) เร่งผลิตกำลังคนที่มีความสามารถพิเศษและมีทักษะฝีมือในการผลิต โดยจัดทำ Talent and Skill Mapping
ให้สอดคล้องกับความต้องการแรงงาน โดยเน้นทั้งด้านปริมาณและคุณภาพให้สามารถรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจในอนาคต
ควบคู่กับการพัฒนาระบบและหลักสูตรการเรียนรู้ใหม่ให้กับแรงงานเพื่อให้สามารถปรับตัวและรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้ทัน
(โดยการ Retraining) เพื่อเพิ่มผลิตภาพแรงงานและสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพและเพื่อรายได้ในอนาคต
(5) ปรับปรุงกระบวนการและขั้นตอนการให้บริการของภาครัฐ ซึ่งจากผลการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารระดับสูง
ของภาคธุรกิจโดย WEF พบว่า ประสิทธิภาพการให้บริการภาครัฐยังเป็นปัญหาอันดับหนึ่งของไทย
ตารางที่ 1 ลำดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย
-----------------------------------------------------------------------------------------------
2545 2546
IMD* (จาก 30 ประเทศที่มีประชากรมากกว่า 20 ล้านคน) 13 10
WEF** (จาก 102 ประเทศ) 37 32
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ที่มา : IMD และ WEF
หมายเหตุ * IMD จัดกลุ่มใหม่ในปี 2546 โดยแยกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่มีประชากรมากกว่า 20 ล้านคน
และน้อยกว่า 20 ล้านคน
** ปี 2545-2546 WEF มีการเพิ่มจำนวนประเทศคือ ปี 2545 เพิ่มจาก 45 เป็น 80 ประเทศ
ปี 2546 เพิ่มจาก 80 เป็น 102 ประเทศ และปี 2546 มีการเปลี่ยนแปลง
สูตรและตัวแปรที่ใช้คำนวณใหม่
ตารางที่ 2 เปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศเอเซียที่สำคัญ
-----------------------------------------------------------------------------------------------
อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย
ปัจจัยแวดล้อมทางเศรษฐกิจ 64 23 27 60 1 26
- ความมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ 65 6 11 46 2 1
- ประสิทธิภาพการใช้จ่ายของรัฐบาล* 42 30 25 89 1 34
- ความน่าเชื่อถือของประเทศ** 80 27 35 54 17 41
สถาบันภาครัฐ 76 36 34 85 6 37
- การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางกฎหมาย 65 34 28 75 7 30
- ระดับการคอร์รัปชั่น 88 38 39 92 5 45
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี 78 6 20 56 12 39
- การค้นคิดสิ่งใหม่ ๆ 65 7 41 49 15 37
- ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศ 74 11 32 67 6 45
- การถ่ายทอดเทคโนโลยี 63 - 1 12 - 4
รวม 72 18 29 66 6 32
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ที่มา : Global Competitiveness Report 2003-2004
หมายเหตุ * ปรับตัวแปรใหม่จากเดิมที่ใช้สัดส่วนรายจ่ายรัฐบาลต่อ GDP เป็นประสิทธิภาพการใช้จ่ายโดยดูจาก 3 ตัวแปร
คือ (1) การให้เงินอุดหนุนแก่ธุรกิจ (2) การใช้เงินงบประมาณในทางที่มิชอบ และ (3) ความเชื่อมั่น
ในนักการเมืองในความซื่อสัตย์สุจริต
**ใช้ข้อมูล ณ เดือนมีนาคม 2546
ตารางที่ 3 ลำดับความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ
-----------------------------------------------------------------------------------------------
2545 2546
ลำดับความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ 35 31
- แผนการดำเนินธุรกิจของบริษัท 33 31
- คุณภาพของสิ่งอำนวยความสะดวกทางธุรกิจ 35 32
ตารางที่ 4 ปัญหา 5 อันดับแรกของการทำธุรกิจในกลุ่มเอเซียใหม่
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อันดับ อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย
1 คอร์รัปชั่น ประสิทธิภาพราชการ ประสิทธิภาพราชการ คอร์รัปชั่น การศึกษาของแรงงาน ประสิทธิภาพราชการ
2 ประสิทธิภาพราชการ ความไม่แน่นอนของ การศึกษาของแรงงาน ประสิทธิภาพราชการ ข้อจำกัดด้านแรงงาน คอร์รัปชั่น
นโยบาย
3 ความไม่แน่นอนของ ข้อจำกัดด้านแรงงาน การเข้าถึงเงินทุน โครงสร้างพื้นฐาน อัตราภาษี ความไม่แน่นอนของ
นโยบาย นโยบาย
4 การเข้าถึงเงินทุน การเข้าถึงเงินทุน ระเบียบเงินตรา อาชญากรรม วัฒนธรรมการทำงาน กฎระเบียบเกี่ยวกับ
ต่างประเทศ ภาษี
5 กฎระเบียบเกี่ยวกับภาษี กฎระเบียบเกี่ยวกับ ข้อจำกัดด้านแรงงาน ความไม่แน่นอนของ การเข้าถึงเงินทุน การศึกษาของแรงงาน
ภาษี นโยบาย
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ที่มา : Global Competitiveness Report 2003-2004
--สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ--
-พห-