เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายเฮช มาร์ติน แลงคาสเตอร์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง กลาโหม ฝ่ายกิจการพลเรือน ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้มาเยือนประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อประสานความร่วมมือกับประเทศภูมิภาคแถบนี้ ในการนี้ นายเฮช มาร์ติน แลงคาสเตอร์ ได้มารับฟังบรรยายสรุปรายงานความก้าวหน้า การจัดทำแผนแม่บทโครงการศูนย์กลางการผลิตและขนส่งอากาศยานนานาชาติ (GTP) ณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ภายหลังพิธีต้อนรับและกล่าวรายงาน ดร.พิสิฎฐ ภัคเกษม ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการโครงการศูนย์กลางการผลิตและขนส่งอากาศยานนานาชาติ ได้เปิดเผยถึงความก้าวหน้าของโครงการนี้ว่าจะสามารถเปิดดำเนินการได้ในปี ค.ศ. 2000 นี้แน่นอน โดยขณะนี้คณะบริษัทที่ปรึกษา 4 บริษัท อันได้แก่ TAMS, Wibur Smith, ACT Consultants, and Thai DCI และด้วยการสนับสนุนทางวิชาการจาก Kenan Institute Asia ได้จัดทำแผนแม่บท GTP เรียบร้อยแล้ว ซึ่งได้มีการกำหนดกรอบการใช้ที่ดินและการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานในบริเวณสนามบินอู่ตะเภา รวมทั้งแผนด้านการตลาดที่จะให้เอกชนเข้ามาลงทุนในโครงการ ทั้งนี้จะได้นำเสนอต่อคณะอนุกรรมการฯ ในเดือนพฤษภาคมนี้ สำหรับในส่วนแผนงาน/โครงการที่เกี่ยวข้องกับโครงการ GTP และรวมทั้งกิจกรรมต่อเนื่องอื่น ๆ ทางบริษัทที่ปรึกษาจะได้นำเสนอในลำดับต่อไป
สำหรับการสนับสนุนเพิ่มเติมที่ทางสหรัฐอเมริกาจะให้แก่ประเทศไทยนั้น นายแลงคาสเตอร์ ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากมลรัฐ North Carolina ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นโครงการ GTP ได้เปิดเผยว่า ยินดีที่จะให้ความร่วมมือ และสนับสนุนโครงการนี้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในด้านการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม เพื่อให้แผนการจัดการสิ่งแวดล้อมของโครงการฯ เป็นไปตามระบบจัดการสิ่งแวดล้อมมาตรฐานสากล ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับการส่งออกของไทยในอนาคต
ดังนั้น ในขั้นตอนแรกของการพัฒนาโครงการ GTP นี้ ทางบริษัทที่ปรึกษาได้กำหนดให้พัฒนาขีดความสามารถของสนามบินอู่ตะเภา ให้สามารถขนส่งสินค้าและผู้โดยสารได้ก่อน จากนั้นค่อยพัฒนาองค์ประกอบของ GTP ต่อไป ซึ่งการพัฒนาระบบพื้นฐานหลักภายในสนามบินอู่ตะเภานั้น รัฐจะเป็นผู้ลงทุนโดยให้กองทัพเรือเป็นผู้ควบคุมและดำเนินการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานภายในสนามบินอู่ตะเภาทั้งหมด ดังนั้นจึงต้องขอใช้งบประมาณปี 2541 เพื่อให้การก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2543 สำหรับการก่อสร้างโครงการพื้นฐานในบริเวณสนามบินอู่ตะเภาระยะแรกนั้นประมาณว่าจะมีมูลค่าการลงทุนรวม 3,000 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่ 3,000 ไร่
ส่วนการที่ภาคเอกชนจะเข้ามาร่วมลงทุนนั้น จะเป็นไปในรูปแบบของการจัดตั้งบริษัทกิจกรรมขนส่งสินค้าทางอากาศโดยบริษัทเฟดเดอรัล เอ็กซ์เพรส เป็นผู้ร่วมลงทุนรายใหญ่ที่จะเข้ามาจัดการบริหารธุรกิจหรือกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในโครงการนี้ต่อไป
--ข่าวการพัฒนา กองศึกษาและเผยแพร่การพัฒนา สนง.คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ปีที่ 14 ฉบับที่ 5/พฤษภาคม 2540--
ภายหลังพิธีต้อนรับและกล่าวรายงาน ดร.พิสิฎฐ ภัคเกษม ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการโครงการศูนย์กลางการผลิตและขนส่งอากาศยานนานาชาติ ได้เปิดเผยถึงความก้าวหน้าของโครงการนี้ว่าจะสามารถเปิดดำเนินการได้ในปี ค.ศ. 2000 นี้แน่นอน โดยขณะนี้คณะบริษัทที่ปรึกษา 4 บริษัท อันได้แก่ TAMS, Wibur Smith, ACT Consultants, and Thai DCI และด้วยการสนับสนุนทางวิชาการจาก Kenan Institute Asia ได้จัดทำแผนแม่บท GTP เรียบร้อยแล้ว ซึ่งได้มีการกำหนดกรอบการใช้ที่ดินและการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานในบริเวณสนามบินอู่ตะเภา รวมทั้งแผนด้านการตลาดที่จะให้เอกชนเข้ามาลงทุนในโครงการ ทั้งนี้จะได้นำเสนอต่อคณะอนุกรรมการฯ ในเดือนพฤษภาคมนี้ สำหรับในส่วนแผนงาน/โครงการที่เกี่ยวข้องกับโครงการ GTP และรวมทั้งกิจกรรมต่อเนื่องอื่น ๆ ทางบริษัทที่ปรึกษาจะได้นำเสนอในลำดับต่อไป
สำหรับการสนับสนุนเพิ่มเติมที่ทางสหรัฐอเมริกาจะให้แก่ประเทศไทยนั้น นายแลงคาสเตอร์ ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากมลรัฐ North Carolina ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นโครงการ GTP ได้เปิดเผยว่า ยินดีที่จะให้ความร่วมมือ และสนับสนุนโครงการนี้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในด้านการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม เพื่อให้แผนการจัดการสิ่งแวดล้อมของโครงการฯ เป็นไปตามระบบจัดการสิ่งแวดล้อมมาตรฐานสากล ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับการส่งออกของไทยในอนาคต
ดังนั้น ในขั้นตอนแรกของการพัฒนาโครงการ GTP นี้ ทางบริษัทที่ปรึกษาได้กำหนดให้พัฒนาขีดความสามารถของสนามบินอู่ตะเภา ให้สามารถขนส่งสินค้าและผู้โดยสารได้ก่อน จากนั้นค่อยพัฒนาองค์ประกอบของ GTP ต่อไป ซึ่งการพัฒนาระบบพื้นฐานหลักภายในสนามบินอู่ตะเภานั้น รัฐจะเป็นผู้ลงทุนโดยให้กองทัพเรือเป็นผู้ควบคุมและดำเนินการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานภายในสนามบินอู่ตะเภาทั้งหมด ดังนั้นจึงต้องขอใช้งบประมาณปี 2541 เพื่อให้การก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2543 สำหรับการก่อสร้างโครงการพื้นฐานในบริเวณสนามบินอู่ตะเภาระยะแรกนั้นประมาณว่าจะมีมูลค่าการลงทุนรวม 3,000 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่ 3,000 ไร่
ส่วนการที่ภาคเอกชนจะเข้ามาร่วมลงทุนนั้น จะเป็นไปในรูปแบบของการจัดตั้งบริษัทกิจกรรมขนส่งสินค้าทางอากาศโดยบริษัทเฟดเดอรัล เอ็กซ์เพรส เป็นผู้ร่วมลงทุนรายใหญ่ที่จะเข้ามาจัดการบริหารธุรกิจหรือกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในโครงการนี้ต่อไป
--ข่าวการพัฒนา กองศึกษาและเผยแพร่การพัฒนา สนง.คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ปีที่ 14 ฉบับที่ 5/พฤษภาคม 2540--