1.        ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2543 โดยพิจารณาจากผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศขยายตัวจากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 3.1 สูงกว่าอัตราการขยายตัวร้อยละ 2.8 ในไตรมาสที่ 3 เพียงเล็กน้อย โดยเป็นผลจากผลิตผลเกษตรออกสู่ตลาดมากในช่วงปลายปี ในขณะที่การขยายตัวของภาคการส่งออกของไทยเริ่มชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา และความต้องการภายในประเทศชะลอตัวลงอันเนื่องจากได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นและราคาสินค้าเกษตรยังคงปรับตัวลดลง ดังนั้นจึงก่อให้เกิดการสะสมสินค้าคงคลังเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี โดยภาพรวมตลอดทั้งปี 2543 เศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่องในอัตราร้อยละ 4.3 สูงกว่าร้อยละ 4.2 ของปี 2542 เพียงเล็กน้อย
มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศในไตรมาสนี้มีมูลค่าเท่ากับ 1,276 พันล้านบาท เมื่อหักด้วยผลตอบแทนจากปัจจัยการผลิตสุทธิระหว่างประเทศ (Net Factor Income Payment from the Rest of the World) ซึ่งเป็นการจ่ายออกไปเท่ากับ 9 พันล้านบาท แล้วคงเหลือเป็นผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (Gross National Product ; GNP) เท่ากับ 1,267 พันล้านบาท มูลค่าที่แท้จริงขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0
ด้านการผลิต ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 โดยเป็นผลมาจากการขยายตัวของภาคการเกษตรร้อยละ 4.2 และภาคนอกการเกษตรร้อยละ 2.9 การผลิตในภาคเกษตรขยายตัวมากเนื่องจากการขยายตัวของหมวดพืชผล ในขณะเดียวกันหมวดปศุสัตว์และหมวดประมงก็ขยายตัวเพิ่มขึ้นด้วย ส่วนการผลิตภาคนอกการเกษตรก็ขยายตัวหลายสาขาการผลิต ที่สำคัญคือสาขาอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 ไฟฟ้าประปาเพิ่มร้อยละ 14.2 ขนส่งคมนาคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.6 เป็นต้น อย่างไรก็ตาม สาขาการก่อสร้างและสาขาการเงินการธนาคารยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากไตรมาสที่ผ่าน ๆ มา
ด้านการใช้จ่ายการใช้จ่ายรวมในไตรมาสนี้ก็ปรับตัวชะลอลงจากไตรมาสที่แล้ว โดยการใช้จ่ายที่ยังสามารถปรับตัวเป็นบวกอยู่ได้แก่การอุปโภคของครัวเรือนและการส่งออก แต่ทั้งสองรายการนี้ก็มีแนวโน้มชะลอลง โดยที่ภาคครัวเรือนอุปโภคสินค้าและบริการขยายตัวร้อยละ 3.9 เทียบกับร้อยละ 4.1 เมื่อไตรมาสที่ 3 มูลค่าการส่งออกที่แท้จริงของสินค้าเพิ่มร้อยละ 11.9 ชะลอลงเมื่อเทียบกับที่เคยขยายตัวร้อยละ 24.7 ในไตรมาสที่แล้ว ส่วนการใช้จ่ายที่แท้จริงของรัฐบาลในไตรมาสนี้ลดลงร้อยละ 5.3 การสะสมทุนหรือการลงทุนทั้งภาคเอกชนและภาครัฐรวมกัน ลดลงร้อยละ 2.0 ต่อเนื่องจากไตรมาสที่แล้วที่ลดลงร้อยละ 2.2 เช่นกัน สำหรับการนำเข้าสินค้าในไตรมาสนี้มูลค่าที่แท้จริงขยายตัวร้อยละ 10.4 ในขณะที่การนำเข้าบริการลดลงร้อยละ 7.5 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหลังจากปรับค่าการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลออกแล้วในไตรมาสนี้เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่แล้ว ร้อยละ 0.9 ดีกว่าไตรมาส 3 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5
2. ด้านการผลิตภาวะการผลิตในไตรมาสที่ 4/2543 มีการขยายตัวสูงกว่าไตรมาสที่แล้วเพียงเล็กน้อย โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศมีการขยายตัวร้อยละ 3.1 เปรียบเทียบกับไตรมาสที่แล้วขยายตัวร้อยละ 2.8 เป็นผลมาจากการขยายตัวทั้งภาคเกษตรในการผลิตพืชผลต่าง ๆ และการประมง และการขยายตัวของการผลิตนอกภาคเกษตร โดยเฉพาะสาขาอุตสาหกรรม บริการและสาธารณูปโภคต่างๆ
2.1 สาขาเกษตรกรรมการผลิตสาขาเกษตรกรรม ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.2 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เป็นการขยายตัวทั้งในหมวดพืชผล ปศุสัตว์และประมงโดยหมวดพืชผลขยายตัวร้อยละ 4.5 หมวดปศุสัตว์ขยายตัวร้อยละ 2.8 และหมวดประมงขยายตัวร้อยละ 5.1 สำหรับราคาสินค้าเกษตรกรรมโดยเฉลี่ยซึ่งไม่รวมหมวดประมงลดลงร้อยละ 0.9 เป็นการลดลงต่อเนื่องจากไตรมาส 3 ที่ผ่านมาซึ่งลดลงร้อยละ 5.5 ส่วนราคาเฉลี่ยของหมวดประมงเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 ตามการเพิ่มขึ้นของราคากุ้งในตลาดโลก
หมวดพืชผล ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5 เป็นผลจากการขยายตัวของพืชหลัก ๆ ได้แก่ มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วต่าง ๆ กาแฟ ผัก ผลไม้ และ ปาล์มน้ำมัน ส่วนพืชที่มีผลผลิตลดลงได้แก่ อ้อย และ สับปะรด ในส่วนของปริมาณผลผลิตข้าวในไตรมาสนี้ อยู่ในระดับเดียวกับผลผลิตของปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ผลผลิตรวมของข้าวนาปีและนาปรังทั้งปี 2543 ยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 1.8 เมื่อเทียบกับผลผลิตของปี 2542 สำหรับ ยางพารา ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.6 โดยเฉพาะการผลิตน้ำยางข้นของเกษตรกรทางภาคใต้เพื่อส่งออกไปเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมแปรรูปยางของมาเลเซีย
หมวดปศุสัตว์
ปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 โดยปศุสัตว์เกือบทุกชนิดขยายตัวเพิ่มขึ้น ยกเว้น โค และกระบือ ที่ปริมาณการผลิตลดลง ทั้งนี้เนื่องจากสถานการณ์โรควัวบ้าที่เกิดขึ้นในแถบยุโรป ส่งผลกระทบให้ประชาชนลดการบริโภคลงไปมาก และหันมาบริโภคเนื้อไก่และเนื้อหมูมากขึ้น
หมวดประมง
ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 ตามการขยายตัวของการผลิตกุ้งเพื่อส่งออกทั้งในรูปกุ้งสดแช่แข็งและกุ้งแปรรูป เนื่องจากแรงจูงใจในด้านราคาส่งออก
2.2 สาขาเหมืองแร่และย่อยหินการผลิตสาขาเหมืองแร่และย่อยหิน ลดลงร้อยละ 5.4 เนื่องจากปริมาณการผลิตแร่เกือบทุกชนิดลดลงร้อยละ 23.9 ในขณะเดียวกันรายการหิน กรวด ทราย มีการผลิตลดลงตามภาวะก่อสร้างที่ยังคงซบเซาต่อเนื่องจากไตรมาสที่ผ่านมา สำหรับการผลิตก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 67.0 ของสาขาขยายตัวเพียงร้อยละ 1.4
2.3 สาขาอุตสาหกรรมการผลิตของสาขาอุตสาหกรรมในไตรมาสนี้ปรับตัวดีขึ้นกว่าไตรมาสที่แล้วเล็กน้อย มีการขยายตัวร้อยละ 3.9 เปรียบเทียบกับร้อยละ 3.6 ในไตรมาสที่ 3 โดยภาวะการผลิตสาขาอุตสาหกรรมเฉลี่ยทั้งปีมีการขยายตัวร้อยละ 5.9 ทั้งนี้อุตสาหกรรมสำคัญที่มีการขยายตัวสูงยังเป็นอุตสาหกรรมที่มีการส่งออกดี เช่น อุตสาหกรรมปิโตรเลียม ปูนซีเมนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ รถยนต์ และอัญมณีและเครื่องประดับ อุตสาหกรรมสำคัญที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่
อุตสาหกรรมปิโตรเลียม มีการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.4 ในไตรมาสนี้ มีสาเหตุสำคัญ 2 ประการคือ การส่งออกที่เพิ่มมากขึ้น โดยมีการส่งออกน้ำมันรวมทุกประเภทเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 54.1 และอีกประการหนึ่งคือ ในไตรมาส 4/2542 มีการผลิตต่ำกว่าระดับปกติ เนื่องจากเกิดเพลิงไหม้โรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์ในเดือนธันวาคม 2542
อุตสาหกรรมอโลหะ อุตสาหกรรมที่สำคัญในหมวดนี้คืออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ มีการขยายตัวร้อยละ 5.6 เนื่องมาจากการส่งออกที่สูงขึ้น และอุตสาหกรรมกระจกขยายตัวร้อยละ 14.4 เป็นผลมาจากการส่งออกและการขยายตัวของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น รถยนต์ ทำให้การผลิตรวมทั้งหมวดมีการขยายตัวร้อยละ 12.2
อุตสาหกรรมเครื่องจักรและอุปกรณ์ อุตสาหกรรมที่สำคัญในหมวดนี้คือ อุตสาหกรรมเครื่องจักรที่ใช้ในครัวเรือน เช่น ตู้เย็น ตู้แช่และเครื่องปรับอากาศ มีการขยายตัวสูง โดยมีการขยายตัวรวมทั้งหมวดร้อยละ 17.9 เนื่องมาจากการส่งออกที่ยังมีการขยายตัวสูง
อุตสาหกรรมเครื่องจักรและเครื่องใช้สำนักงาน รายการสำคัญได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ยังมีการขยายตัวดีอยู่ เนื่องมาจากความต้องการจากต่างประเทศ โดยมีการขยายตัวรวมทั้งหมวดร้อยละ 15.8
อุตสาหกรรมเครื่องรับวิทยุและโทรทัศน์ การผลิตขยายตัวร้อยละ 14.5 เป็นผลมาจากการส่งออกยังมีการขยายตัวร้อยละ 16.4 แต่เริ่มมีการชะลอตัวลงมากเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 3 ที่มีการขยายตัวร้อยละ 69.1
อุตสาหกรรมยานยนต์ เริ่มมีการขยายตัวสูงขึ้นหลังจากที่มีการชะลอตัวลงในไตรมาสที่แล้ว โดยการผลิตขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.0 เปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 3 มีการขยายตัวร้อยละ 5.9 โดยการขยายตัวในไตรมาสนี้เป็นผลมาจากการส่งออกที่สูงขึ้นซึ่งขยายตัวถึงร้อยละ 42.0 ในขณะที่ความต้องการภายในประเทศเริ่มชะลอตัวลง
อุตสาหกรรมอื่น ๆ มีอุตสาหกรรมที่สำคัญคือ อัญมณีและเครื่องประดับ มีการขยายตัวโดยรวมทั้งหมดร้อยละ 11.2
2.4 สาขาไฟฟ้า ประปาและโรงแยกก๊าซการผลิตในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.2 จากการขยายตัวของการผลิตในหมวดไฟฟ้าร้อยละ 15.9 ซึ่งเป็นไปตามการเพิ่มขึ้นของปริมาณการใช้กระแสไฟฟ้าของทุกประเภทผู้ใช้ไฟโดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นในปริมาณการใช้ไฟด้านที่อยู่อาศัย และกิจการขนาดเล็ก ส่วนหมวดประปาการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.4 ในขณะที่โรงแยกก๊าซธรรมชาติปรับตัวลดลงร้อยละ 4.0 ตามการสั่งซื้อก๊าซธรรมชาติที่ลดลง
2.5 สาขาก่อสร้างการก่อสร้างในไตรมาสนี้ลดลงจากระยะเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 26.6 เนื่องมาจากการก่อสร้างภาครัฐที่มีสัดส่วนร้อยละ 60.0 ลดลงร้อยละ 41.5 ส่วนการก่อสร้างภาคเอกชนยังคงปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยขยายตัวร้อยละ 16.5 เนื่องจากมีการก่อสร้างอาคารประเภทที่อยู่อาศัยและอาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้น
2.6 สาขาการค้าส่ง ค้าปลีกสาขาการค้าส่งค้าปลีก ในไตรมาสนี้มีอัตราการขยายตัว ร้อยละ 2.7 ทั้งนี้เนื่องมาจากการขยายตัวของสินค้าภาคเกษตร และนอกภาคเกษตร ภาคเกษตรมีอัตราการขยายตัวเนื่องมาจากการขยายตัวของผลิตผลทางการเกษตร สำหรับภาคนอกเกษตรนั้นเป็นการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม
2.7 โรงแรมและภัตตาคาร ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 เนื่องจากบริการภัตตาคารซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 70 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 ในขณะเดียวกันบริการโรงแรม ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 30 ขยายตัวร้อยละ 9.4 ชะลอลงจากไตรมาสที่แล้วเนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ชะลอตัวลง เป็นผลมาจากการเกิดภาวะน้ำท่วมทางภาคใต้
2.8 สาขาคมนาคมและการขนส่งการผลิตสาขาคมนาคมและขนส่งในไตรมาสนี้ ขยายตัวค่อนข้างสูงในอัตราร้อยละ 8.6 ปัจจัยหลักมาจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องด้านคมนาคม โดยเฉพาะผลการประกอบการขององค์การโทรศัพท์ที่รายรับเพิ่มขึ้นสูงมาก ส่วนการขนส่งสินค้าโดยรถบรรทุกก็ยังมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของการผลิตด้านการเกษตร และอุตสาหกรรม
2.9 สาขา การเงิน การธนาคารภาวะ การเงิน การธนาคาร ในไตรมาสนี้หดตัวลง ร้อยละ 4.1 เนื่องมาจากรายได้จากดอกเบี้ยลดลง ขณะเดียวกันสินเชื่อใหม่ก็มีอัตราการขยายตัวลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนโดยธนาคารพาณิชย์มีการตัดหนี้สูญ และการโอนหนี้ไปยังบรรษัทบริหารสินทรัพย์ รวมทั้งธนาคารพาณิชย์ยังคงระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ แต่รายการการประกันชีวิตมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องมาจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ค่อนข้างต่ำไม่จูงใจให้ออมกับธนาคารพาณิชย์ ประชาชนจึงเปลี่ยนพฤติกรรมโดยมาออมกับการประกันชีวิตซึ่งปัจจุบันมีหลายรูปแบบให้เลือก
3. ด้านการใช้จ่าย
3.1 รายจ่ายเพื่อการอุปโภคของครัวเรือนมูลค่าการใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภคภาคเอกชนไตรมาสที่ 4 ของปี 2543 เท่ากับ 712,801 ล้านบาท มูลค่าที่แท้จริงขยายตัวร้อยละ 3.9 เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว การอุปโภคบริโภคในไตรมาสนี้มีแนวโน้มชะลอตัวลง เนื่องจากปัจจัยที่สำคัญคือ 1) ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้รายได้ของเกษตรกรส่วนใหญ่อยู่ในระดับต่ำ และ 2) ผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก ทำให้ระดับราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามการใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภคภาคเอกชนในไตรมาสที่ 4/2543 ได้สะท้อนภาพการขยายตัวในทุกหมวด โดยสินค้าและบริการหลัก ๆ ประกอบด้วย
หมวดสินค้าเกษตร ขยายตัวร้อยละ 3.7 เทียบกับช่วงไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากมีผลผลิตผักและผลไม้ออกสู่ตลาดมาก ในขณะที่ระดับราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง
หมวดอาหาร เครื่องดื่ม และเครื่องนุ่งห่ม โดยรวมชะลอตัวลงจากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว โดยขยายตัวร้อยละ 2.0 เป็นผลมาจากหมวดอาหาร ขยายตัวเพียงร้อยละ 0.8 เครื่องนุ่งห่มลดลงร้อยละ 0.7 ในขณะที่การบริโภคเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.1 ตามปริมาณการจำหน่ายเบียร์และเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ เนื่องจากเป็นช่วงฉลองเทศกาลขึ้นปีใหม่
หมวดยานพาหนะ ไตรมาสนี้ขยายตัวในอัตราชะลอลงจากไตรมาสที่แล้ว โดยขยายตัวร้อยละ 4.7 ตามปริมาณการสั่งซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่มีแนวโน้มชะลอลง เป็นผลสืบเนื่องจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้น
หมวดไฟฟ้า ประปา และเชื้อเพลิง ขยายตัวจากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วถึงร้อยละ 11.1 เป็นผลจากปริมาณการใช้ไฟฟ้าและประปาของครัวเรือนที่มีทิศทางขยายตัวร้อยละ 12.0 และ 7.3 ตามลำดับ
หมวดบริการขนส่งและสื่อสาร มีทิศทางขยายตัวร้อยละ 12.3 เทียบกับไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว ตามการใช้บริการด้านขนส่งของครัวเรือนที่ขยายตัวร้อยละ 9.4 และการสื่อสารโทรคมนาคมซึ่งขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาสที่แล้วถึงร้อยละ 17.4 เป็นผลจากกิจกรรมการส่งเสริมการขายเพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาดของผู้ประกอบธุรกิจโทรศัพท์มือถือและโทรศัพท์พีซีที
หมวดบริการโรงแรมและภัตตาคาร ขยายตัวร้อยละ 4.6 เทียบกับไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว เนื่องจากการใช้บริการโรงแรมขยายตัวร้อยละ 9.4 ตามการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยว
3.2 รายจ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของรัฐบาลรายจ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของรัฐบาลในไตรมาสที่สี่ปี 2543 มีมูลค่า 135,900 ล้านบาท ลดลงจากระยะเดียวกันของปี 2542 ในมูลค่าที่แท้จริงร้อยละ 5.3 โดยลดลงทั้งส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเงินเดือน ค่าจ้างและค่าตอบแทน และค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าและบริการสุทธิในอัตราร้อยละ 0.9 และ 12.8 ตามลำดับ ทั้งนี้สาเหตุของการลดลงดังกล่าวมีปัจจัยสำคัญมาจากผลการดำเนินนโยบายปรับลดจำนวนข้าราชการตามโครงการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนด ทำให้ยอดการเบิกจ่ายเงินเดือนลดลง ประกอบกับการเบิกจ่ายเงินกู้ตามมาตรการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ (มิยาซาว่า) ก็ลดลงอย่างมากด้วย เนื่องจากอยู่ในช่วงปลายของการดำเนินมาตรการนี้ระยะแรก นอกจากนี้ในไตรมาสที่สี่ปีนี้ก็ยังไม่มีการเบิกจ่ายจากเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางสังคม (Social Sector Program Loan) ด้วยเนื่องจากได้มีการเบิกจ่ายเป็นงวดสุดท้ายหมดไปแล้วประมาณ 7,700 ล้านบาทตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว
3.3 การสะสมทุนถาวรเบื้องต้นการสะสมทุนถาวรเบื้องต้นในไตรมาสนี้ลดลงร้อยละ 2.0 เนื่องจากการลงทุนภาครัฐซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 34.2 ลดลงร้อยละ 15.5 ส่วนการลงทุนภาคเอกชนมีสัดส่วนร้อยละ 65.8 ขยายตัวร้อยละ 6.9 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว
การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 6.9 โดยเป็นการขยายตัวของการลงทุนด้านเครื่องมือเครื่องจักร ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 78.3 ของการลงทุนภาคเอกชนรวม ขยายตัวร้อยละ 4.4 ส่วนใหญ่มาจากการขยายตัวของสินค้าทุน ทั้งในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร และเครื่องใช้สำนักงาน สำหรับการลงทุนด้านก่อสร้างที่มีสัดส่วนร้อยละ 21.7 ของการลงทุนภาคเอกชนนั้น ปรับตัวดีขึ้นจากระยะเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดยขยายตัวร้อยละ 16.8 เนื่องมาจากการขยายตัวของการก่อสร้างประเภทอาคารที่อยู่อาศัยและอาคารพาณิชย์ในเขตเทศบาลและเขตองค์การบริหารส่วนตำบล
การลงทุนภาครัฐ ลดลงร้อยละ 15.5 เป็นผลมาจากการลงทุนด้านก่อสร้างของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจที่มีสัดส่วนร้อยละ 54.0 ของการลงทุนภาครัฐรวม ลดลงร้อยละ 41.5 อันเนื่องจาก แรงเฉื่อยของเงินกระตุ้นมิยาซาว่าและยังไม่มีโครงการลงทุนใหม่ของรัฐวิสาหกิจเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสนี้ ส่วนการลงทุนด้านเครื่องมือเครื่องจักรอีกร้อยละ 46.0 มีการขยายตัวร้อยละ 76.5 เนื่องจากไตรมาสนี้มีการส่งมอบเครื่องบินจำนวน 2 ลำ มูลค่า 14,683 ล้านบาท อย่างไรก็ตามหากพิจารณาโดยไม่รวมเครื่องบินแล้ว การลงทุนรวมของภาครัฐลดลงร้อยละ 30.6
3.4 มูลค่าส่วนเปลี่ยนสินค้าคงเหลือมูลค่าส่วนเปลี่ยนสินค้าคงเหลือในไตรมาสนี้ มีจำนวนเพิ่มขึ้นโดยเป็นผลมาจากการสะสมผลผลิตเกษตรซึ่งก็คือข้าวนาปีที่มีการเก็บเกี่ยวกันเกือบทั่วพื้นที่เพาะปลูก ส่วนสินค้าคงคลังประเภทสินค้าอุตสาหกรรมและเหมืองแร่กลับมีจำนวนลดลง แต่เมื่อรวมกับส่วนสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้นตามที่กล่าวข้างต้นแล้ว สินค้าคงคลังในไตรมาสนี้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นรวม 25,023 ล้านบาท เทียบเป็นสัดส่วนต่อ GDP เท่ากับร้อยละ 2.0 ปรับตัวสูงกว่าในไตรมาส 3 ที่สินค้าคงคลังลดลงเทียบเป็นร้อยละ 0.1 ต่อ GDP
3.5 การส่งออกสินค้าและบริการมูลค่าการส่งออกสินค้าและบริการที่แท้จริงในไตรมาสนี้ ขยายตัวสูงขึ้นร้อยละ 6.9 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีที่แล้ว สินค้าที่ยังส่งออกได้มูลค่าสูงตามราคาตลาดยังคงเป็นสินค้าอุตสาหกรรมซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 85.1 ของมูลค่าการส่งออกรวม ขยายตัวร้อยละ 25.7 โดยเฉพาะสินค้าที่ใช้วัตถุดิบจากต่างประเทศ เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น ในขณะที่การส่งออกสินค้าเกษตรตามราคาตลาดขยายตัวร้อยละ 10.1 โดยสินค้าที่ส่งออกมากไตรมาสนี้ ได้แก่ ยางพาราไตรมาสนี้มีอัตราการขยายตัวร้อยละ 28.4รายรับจากบริการไตรมาสนี้ลดลงอย่างต่อเนื่องร้อยละ 12.3 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีที่ผ่านมา เนื่องจากรายรับจากการให้บริการขนส่งหดตัวลง ในขณะที่รายรับจากนักท่องเที่ยวยังคงขยายตัวเล็กน้อย
3.6 การนำเข้าสินค้าและบริการมูลค่าการนำเข้าสินค้าและบริการที่แท้จริงในไตรมาสนี้ขยายตัวร้อยละ 7.2 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน โดยมูลค่าการนำเข้าสินค้าตามราคาตลาดยังคงเป็นสินค้าทุนซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 52.2 ขยายตัวร้อยละ 44.3 ในขณะที่สินค้าขั้นกลางขยายตัวร้อยละ 12.3 และสินค้าประเภทน้ำมันเชื้อเพลิงขยายตัวถึงร้อยละ 50.8 ส่วนสินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัวร้อยละ 23.0ค่าใช้จ่ายในการซื้อบริการที่แท้จริงจากต่างประเทศไตรมาสนี้หดตัวร้อยละ 7.5 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการซื้อบริการอื่นๆ หดตัวลง ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปต่างประเทศขยายตัวร้อยละ 15.6
4. ดุลการค้าและดุลบริการดุลการค้าในไตรมาสนี้เกินดุล 50,001 ล้านบาทยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสเดียวกันในปีก่อนที่เกินดุล 81,820 ล้านบาท ถึงแม้ว่าการส่งออกในไตรมาสนี้ยังคงขยายตัว แต่เนื่องจากสินค้าส่งออกส่วนใหญ่ยังคงเป็นสินค้าที่พึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ จึงทำให้มูลค่าการนำเข้าสินค้าในไตรมาสนี้ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน ราคาสินค้านำเข้าในไตรมาสนี้ก็ขยายตัวในอัตราที่สูงกว่าราคาสินค้าส่งออก จึงเป็นผลให้ไตรมาสนี้เกินดุลลดลง ด้านดุลบริการในไตรมาสนี้เกินดุล 49,618 ล้านบาท ลดลงจากที่เกินดุล 56,665 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เมื่อรวมดุลการค้าและดุลบริการพบว่า ในไตรมาสนี้ยังคงเกินดุลอยู่ 99,619 ล้านบาท ลดลงจากที่เกินดุล 138,485 ล้านบาทในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
5. ดัชนีราคาผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศดัชนีราคาผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศไตรมาสที่ 4 ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 2.0 จากไตรมาสเดียวกันในปีที่แล้ว ต่ำกว่าร้อยละ 2.8 ในไตรมาสที่ 3 ทั้งนี้คาดประมาณว่าทั้งปี 2543 ดัชนีราคาผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศขยายตัวร้อยละ 1.6
--สนง.คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ--
-สส-
                          
          มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศในไตรมาสนี้มีมูลค่าเท่ากับ 1,276 พันล้านบาท เมื่อหักด้วยผลตอบแทนจากปัจจัยการผลิตสุทธิระหว่างประเทศ (Net Factor Income Payment from the Rest of the World) ซึ่งเป็นการจ่ายออกไปเท่ากับ 9 พันล้านบาท แล้วคงเหลือเป็นผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (Gross National Product ; GNP) เท่ากับ 1,267 พันล้านบาท มูลค่าที่แท้จริงขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0
ด้านการผลิต ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 โดยเป็นผลมาจากการขยายตัวของภาคการเกษตรร้อยละ 4.2 และภาคนอกการเกษตรร้อยละ 2.9 การผลิตในภาคเกษตรขยายตัวมากเนื่องจากการขยายตัวของหมวดพืชผล ในขณะเดียวกันหมวดปศุสัตว์และหมวดประมงก็ขยายตัวเพิ่มขึ้นด้วย ส่วนการผลิตภาคนอกการเกษตรก็ขยายตัวหลายสาขาการผลิต ที่สำคัญคือสาขาอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 ไฟฟ้าประปาเพิ่มร้อยละ 14.2 ขนส่งคมนาคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.6 เป็นต้น อย่างไรก็ตาม สาขาการก่อสร้างและสาขาการเงินการธนาคารยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากไตรมาสที่ผ่าน ๆ มา
ด้านการใช้จ่ายการใช้จ่ายรวมในไตรมาสนี้ก็ปรับตัวชะลอลงจากไตรมาสที่แล้ว โดยการใช้จ่ายที่ยังสามารถปรับตัวเป็นบวกอยู่ได้แก่การอุปโภคของครัวเรือนและการส่งออก แต่ทั้งสองรายการนี้ก็มีแนวโน้มชะลอลง โดยที่ภาคครัวเรือนอุปโภคสินค้าและบริการขยายตัวร้อยละ 3.9 เทียบกับร้อยละ 4.1 เมื่อไตรมาสที่ 3 มูลค่าการส่งออกที่แท้จริงของสินค้าเพิ่มร้อยละ 11.9 ชะลอลงเมื่อเทียบกับที่เคยขยายตัวร้อยละ 24.7 ในไตรมาสที่แล้ว ส่วนการใช้จ่ายที่แท้จริงของรัฐบาลในไตรมาสนี้ลดลงร้อยละ 5.3 การสะสมทุนหรือการลงทุนทั้งภาคเอกชนและภาครัฐรวมกัน ลดลงร้อยละ 2.0 ต่อเนื่องจากไตรมาสที่แล้วที่ลดลงร้อยละ 2.2 เช่นกัน สำหรับการนำเข้าสินค้าในไตรมาสนี้มูลค่าที่แท้จริงขยายตัวร้อยละ 10.4 ในขณะที่การนำเข้าบริการลดลงร้อยละ 7.5 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหลังจากปรับค่าการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลออกแล้วในไตรมาสนี้เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่แล้ว ร้อยละ 0.9 ดีกว่าไตรมาส 3 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5
2. ด้านการผลิตภาวะการผลิตในไตรมาสที่ 4/2543 มีการขยายตัวสูงกว่าไตรมาสที่แล้วเพียงเล็กน้อย โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศมีการขยายตัวร้อยละ 3.1 เปรียบเทียบกับไตรมาสที่แล้วขยายตัวร้อยละ 2.8 เป็นผลมาจากการขยายตัวทั้งภาคเกษตรในการผลิตพืชผลต่าง ๆ และการประมง และการขยายตัวของการผลิตนอกภาคเกษตร โดยเฉพาะสาขาอุตสาหกรรม บริการและสาธารณูปโภคต่างๆ
2.1 สาขาเกษตรกรรมการผลิตสาขาเกษตรกรรม ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.2 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เป็นการขยายตัวทั้งในหมวดพืชผล ปศุสัตว์และประมงโดยหมวดพืชผลขยายตัวร้อยละ 4.5 หมวดปศุสัตว์ขยายตัวร้อยละ 2.8 และหมวดประมงขยายตัวร้อยละ 5.1 สำหรับราคาสินค้าเกษตรกรรมโดยเฉลี่ยซึ่งไม่รวมหมวดประมงลดลงร้อยละ 0.9 เป็นการลดลงต่อเนื่องจากไตรมาส 3 ที่ผ่านมาซึ่งลดลงร้อยละ 5.5 ส่วนราคาเฉลี่ยของหมวดประมงเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 ตามการเพิ่มขึ้นของราคากุ้งในตลาดโลก
หมวดพืชผล ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5 เป็นผลจากการขยายตัวของพืชหลัก ๆ ได้แก่ มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วต่าง ๆ กาแฟ ผัก ผลไม้ และ ปาล์มน้ำมัน ส่วนพืชที่มีผลผลิตลดลงได้แก่ อ้อย และ สับปะรด ในส่วนของปริมาณผลผลิตข้าวในไตรมาสนี้ อยู่ในระดับเดียวกับผลผลิตของปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ผลผลิตรวมของข้าวนาปีและนาปรังทั้งปี 2543 ยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 1.8 เมื่อเทียบกับผลผลิตของปี 2542 สำหรับ ยางพารา ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.6 โดยเฉพาะการผลิตน้ำยางข้นของเกษตรกรทางภาคใต้เพื่อส่งออกไปเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมแปรรูปยางของมาเลเซีย
หมวดปศุสัตว์
ปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 โดยปศุสัตว์เกือบทุกชนิดขยายตัวเพิ่มขึ้น ยกเว้น โค และกระบือ ที่ปริมาณการผลิตลดลง ทั้งนี้เนื่องจากสถานการณ์โรควัวบ้าที่เกิดขึ้นในแถบยุโรป ส่งผลกระทบให้ประชาชนลดการบริโภคลงไปมาก และหันมาบริโภคเนื้อไก่และเนื้อหมูมากขึ้น
หมวดประมง
ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 ตามการขยายตัวของการผลิตกุ้งเพื่อส่งออกทั้งในรูปกุ้งสดแช่แข็งและกุ้งแปรรูป เนื่องจากแรงจูงใจในด้านราคาส่งออก
2.2 สาขาเหมืองแร่และย่อยหินการผลิตสาขาเหมืองแร่และย่อยหิน ลดลงร้อยละ 5.4 เนื่องจากปริมาณการผลิตแร่เกือบทุกชนิดลดลงร้อยละ 23.9 ในขณะเดียวกันรายการหิน กรวด ทราย มีการผลิตลดลงตามภาวะก่อสร้างที่ยังคงซบเซาต่อเนื่องจากไตรมาสที่ผ่านมา สำหรับการผลิตก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 67.0 ของสาขาขยายตัวเพียงร้อยละ 1.4
2.3 สาขาอุตสาหกรรมการผลิตของสาขาอุตสาหกรรมในไตรมาสนี้ปรับตัวดีขึ้นกว่าไตรมาสที่แล้วเล็กน้อย มีการขยายตัวร้อยละ 3.9 เปรียบเทียบกับร้อยละ 3.6 ในไตรมาสที่ 3 โดยภาวะการผลิตสาขาอุตสาหกรรมเฉลี่ยทั้งปีมีการขยายตัวร้อยละ 5.9 ทั้งนี้อุตสาหกรรมสำคัญที่มีการขยายตัวสูงยังเป็นอุตสาหกรรมที่มีการส่งออกดี เช่น อุตสาหกรรมปิโตรเลียม ปูนซีเมนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ รถยนต์ และอัญมณีและเครื่องประดับ อุตสาหกรรมสำคัญที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่
อุตสาหกรรมปิโตรเลียม มีการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.4 ในไตรมาสนี้ มีสาเหตุสำคัญ 2 ประการคือ การส่งออกที่เพิ่มมากขึ้น โดยมีการส่งออกน้ำมันรวมทุกประเภทเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 54.1 และอีกประการหนึ่งคือ ในไตรมาส 4/2542 มีการผลิตต่ำกว่าระดับปกติ เนื่องจากเกิดเพลิงไหม้โรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์ในเดือนธันวาคม 2542
อุตสาหกรรมอโลหะ อุตสาหกรรมที่สำคัญในหมวดนี้คืออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ มีการขยายตัวร้อยละ 5.6 เนื่องมาจากการส่งออกที่สูงขึ้น และอุตสาหกรรมกระจกขยายตัวร้อยละ 14.4 เป็นผลมาจากการส่งออกและการขยายตัวของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น รถยนต์ ทำให้การผลิตรวมทั้งหมวดมีการขยายตัวร้อยละ 12.2
อุตสาหกรรมเครื่องจักรและอุปกรณ์ อุตสาหกรรมที่สำคัญในหมวดนี้คือ อุตสาหกรรมเครื่องจักรที่ใช้ในครัวเรือน เช่น ตู้เย็น ตู้แช่และเครื่องปรับอากาศ มีการขยายตัวสูง โดยมีการขยายตัวรวมทั้งหมวดร้อยละ 17.9 เนื่องมาจากการส่งออกที่ยังมีการขยายตัวสูง
อุตสาหกรรมเครื่องจักรและเครื่องใช้สำนักงาน รายการสำคัญได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ยังมีการขยายตัวดีอยู่ เนื่องมาจากความต้องการจากต่างประเทศ โดยมีการขยายตัวรวมทั้งหมวดร้อยละ 15.8
อุตสาหกรรมเครื่องรับวิทยุและโทรทัศน์ การผลิตขยายตัวร้อยละ 14.5 เป็นผลมาจากการส่งออกยังมีการขยายตัวร้อยละ 16.4 แต่เริ่มมีการชะลอตัวลงมากเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 3 ที่มีการขยายตัวร้อยละ 69.1
อุตสาหกรรมยานยนต์ เริ่มมีการขยายตัวสูงขึ้นหลังจากที่มีการชะลอตัวลงในไตรมาสที่แล้ว โดยการผลิตขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.0 เปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 3 มีการขยายตัวร้อยละ 5.9 โดยการขยายตัวในไตรมาสนี้เป็นผลมาจากการส่งออกที่สูงขึ้นซึ่งขยายตัวถึงร้อยละ 42.0 ในขณะที่ความต้องการภายในประเทศเริ่มชะลอตัวลง
อุตสาหกรรมอื่น ๆ มีอุตสาหกรรมที่สำคัญคือ อัญมณีและเครื่องประดับ มีการขยายตัวโดยรวมทั้งหมดร้อยละ 11.2
2.4 สาขาไฟฟ้า ประปาและโรงแยกก๊าซการผลิตในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.2 จากการขยายตัวของการผลิตในหมวดไฟฟ้าร้อยละ 15.9 ซึ่งเป็นไปตามการเพิ่มขึ้นของปริมาณการใช้กระแสไฟฟ้าของทุกประเภทผู้ใช้ไฟโดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นในปริมาณการใช้ไฟด้านที่อยู่อาศัย และกิจการขนาดเล็ก ส่วนหมวดประปาการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.4 ในขณะที่โรงแยกก๊าซธรรมชาติปรับตัวลดลงร้อยละ 4.0 ตามการสั่งซื้อก๊าซธรรมชาติที่ลดลง
2.5 สาขาก่อสร้างการก่อสร้างในไตรมาสนี้ลดลงจากระยะเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 26.6 เนื่องมาจากการก่อสร้างภาครัฐที่มีสัดส่วนร้อยละ 60.0 ลดลงร้อยละ 41.5 ส่วนการก่อสร้างภาคเอกชนยังคงปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยขยายตัวร้อยละ 16.5 เนื่องจากมีการก่อสร้างอาคารประเภทที่อยู่อาศัยและอาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้น
2.6 สาขาการค้าส่ง ค้าปลีกสาขาการค้าส่งค้าปลีก ในไตรมาสนี้มีอัตราการขยายตัว ร้อยละ 2.7 ทั้งนี้เนื่องมาจากการขยายตัวของสินค้าภาคเกษตร และนอกภาคเกษตร ภาคเกษตรมีอัตราการขยายตัวเนื่องมาจากการขยายตัวของผลิตผลทางการเกษตร สำหรับภาคนอกเกษตรนั้นเป็นการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม
2.7 โรงแรมและภัตตาคาร ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 เนื่องจากบริการภัตตาคารซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 70 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 ในขณะเดียวกันบริการโรงแรม ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 30 ขยายตัวร้อยละ 9.4 ชะลอลงจากไตรมาสที่แล้วเนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ชะลอตัวลง เป็นผลมาจากการเกิดภาวะน้ำท่วมทางภาคใต้
2.8 สาขาคมนาคมและการขนส่งการผลิตสาขาคมนาคมและขนส่งในไตรมาสนี้ ขยายตัวค่อนข้างสูงในอัตราร้อยละ 8.6 ปัจจัยหลักมาจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องด้านคมนาคม โดยเฉพาะผลการประกอบการขององค์การโทรศัพท์ที่รายรับเพิ่มขึ้นสูงมาก ส่วนการขนส่งสินค้าโดยรถบรรทุกก็ยังมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของการผลิตด้านการเกษตร และอุตสาหกรรม
2.9 สาขา การเงิน การธนาคารภาวะ การเงิน การธนาคาร ในไตรมาสนี้หดตัวลง ร้อยละ 4.1 เนื่องมาจากรายได้จากดอกเบี้ยลดลง ขณะเดียวกันสินเชื่อใหม่ก็มีอัตราการขยายตัวลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนโดยธนาคารพาณิชย์มีการตัดหนี้สูญ และการโอนหนี้ไปยังบรรษัทบริหารสินทรัพย์ รวมทั้งธนาคารพาณิชย์ยังคงระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ แต่รายการการประกันชีวิตมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องมาจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ค่อนข้างต่ำไม่จูงใจให้ออมกับธนาคารพาณิชย์ ประชาชนจึงเปลี่ยนพฤติกรรมโดยมาออมกับการประกันชีวิตซึ่งปัจจุบันมีหลายรูปแบบให้เลือก
3. ด้านการใช้จ่าย
3.1 รายจ่ายเพื่อการอุปโภคของครัวเรือนมูลค่าการใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภคภาคเอกชนไตรมาสที่ 4 ของปี 2543 เท่ากับ 712,801 ล้านบาท มูลค่าที่แท้จริงขยายตัวร้อยละ 3.9 เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว การอุปโภคบริโภคในไตรมาสนี้มีแนวโน้มชะลอตัวลง เนื่องจากปัจจัยที่สำคัญคือ 1) ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้รายได้ของเกษตรกรส่วนใหญ่อยู่ในระดับต่ำ และ 2) ผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก ทำให้ระดับราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามการใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภคภาคเอกชนในไตรมาสที่ 4/2543 ได้สะท้อนภาพการขยายตัวในทุกหมวด โดยสินค้าและบริการหลัก ๆ ประกอบด้วย
หมวดสินค้าเกษตร ขยายตัวร้อยละ 3.7 เทียบกับช่วงไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากมีผลผลิตผักและผลไม้ออกสู่ตลาดมาก ในขณะที่ระดับราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง
หมวดอาหาร เครื่องดื่ม และเครื่องนุ่งห่ม โดยรวมชะลอตัวลงจากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว โดยขยายตัวร้อยละ 2.0 เป็นผลมาจากหมวดอาหาร ขยายตัวเพียงร้อยละ 0.8 เครื่องนุ่งห่มลดลงร้อยละ 0.7 ในขณะที่การบริโภคเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.1 ตามปริมาณการจำหน่ายเบียร์และเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ เนื่องจากเป็นช่วงฉลองเทศกาลขึ้นปีใหม่
หมวดยานพาหนะ ไตรมาสนี้ขยายตัวในอัตราชะลอลงจากไตรมาสที่แล้ว โดยขยายตัวร้อยละ 4.7 ตามปริมาณการสั่งซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่มีแนวโน้มชะลอลง เป็นผลสืบเนื่องจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้น
หมวดไฟฟ้า ประปา และเชื้อเพลิง ขยายตัวจากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วถึงร้อยละ 11.1 เป็นผลจากปริมาณการใช้ไฟฟ้าและประปาของครัวเรือนที่มีทิศทางขยายตัวร้อยละ 12.0 และ 7.3 ตามลำดับ
หมวดบริการขนส่งและสื่อสาร มีทิศทางขยายตัวร้อยละ 12.3 เทียบกับไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว ตามการใช้บริการด้านขนส่งของครัวเรือนที่ขยายตัวร้อยละ 9.4 และการสื่อสารโทรคมนาคมซึ่งขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาสที่แล้วถึงร้อยละ 17.4 เป็นผลจากกิจกรรมการส่งเสริมการขายเพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาดของผู้ประกอบธุรกิจโทรศัพท์มือถือและโทรศัพท์พีซีที
หมวดบริการโรงแรมและภัตตาคาร ขยายตัวร้อยละ 4.6 เทียบกับไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว เนื่องจากการใช้บริการโรงแรมขยายตัวร้อยละ 9.4 ตามการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยว
3.2 รายจ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของรัฐบาลรายจ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของรัฐบาลในไตรมาสที่สี่ปี 2543 มีมูลค่า 135,900 ล้านบาท ลดลงจากระยะเดียวกันของปี 2542 ในมูลค่าที่แท้จริงร้อยละ 5.3 โดยลดลงทั้งส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเงินเดือน ค่าจ้างและค่าตอบแทน และค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าและบริการสุทธิในอัตราร้อยละ 0.9 และ 12.8 ตามลำดับ ทั้งนี้สาเหตุของการลดลงดังกล่าวมีปัจจัยสำคัญมาจากผลการดำเนินนโยบายปรับลดจำนวนข้าราชการตามโครงการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนด ทำให้ยอดการเบิกจ่ายเงินเดือนลดลง ประกอบกับการเบิกจ่ายเงินกู้ตามมาตรการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ (มิยาซาว่า) ก็ลดลงอย่างมากด้วย เนื่องจากอยู่ในช่วงปลายของการดำเนินมาตรการนี้ระยะแรก นอกจากนี้ในไตรมาสที่สี่ปีนี้ก็ยังไม่มีการเบิกจ่ายจากเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางสังคม (Social Sector Program Loan) ด้วยเนื่องจากได้มีการเบิกจ่ายเป็นงวดสุดท้ายหมดไปแล้วประมาณ 7,700 ล้านบาทตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว
3.3 การสะสมทุนถาวรเบื้องต้นการสะสมทุนถาวรเบื้องต้นในไตรมาสนี้ลดลงร้อยละ 2.0 เนื่องจากการลงทุนภาครัฐซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 34.2 ลดลงร้อยละ 15.5 ส่วนการลงทุนภาคเอกชนมีสัดส่วนร้อยละ 65.8 ขยายตัวร้อยละ 6.9 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว
การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 6.9 โดยเป็นการขยายตัวของการลงทุนด้านเครื่องมือเครื่องจักร ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 78.3 ของการลงทุนภาคเอกชนรวม ขยายตัวร้อยละ 4.4 ส่วนใหญ่มาจากการขยายตัวของสินค้าทุน ทั้งในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร และเครื่องใช้สำนักงาน สำหรับการลงทุนด้านก่อสร้างที่มีสัดส่วนร้อยละ 21.7 ของการลงทุนภาคเอกชนนั้น ปรับตัวดีขึ้นจากระยะเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดยขยายตัวร้อยละ 16.8 เนื่องมาจากการขยายตัวของการก่อสร้างประเภทอาคารที่อยู่อาศัยและอาคารพาณิชย์ในเขตเทศบาลและเขตองค์การบริหารส่วนตำบล
การลงทุนภาครัฐ ลดลงร้อยละ 15.5 เป็นผลมาจากการลงทุนด้านก่อสร้างของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจที่มีสัดส่วนร้อยละ 54.0 ของการลงทุนภาครัฐรวม ลดลงร้อยละ 41.5 อันเนื่องจาก แรงเฉื่อยของเงินกระตุ้นมิยาซาว่าและยังไม่มีโครงการลงทุนใหม่ของรัฐวิสาหกิจเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสนี้ ส่วนการลงทุนด้านเครื่องมือเครื่องจักรอีกร้อยละ 46.0 มีการขยายตัวร้อยละ 76.5 เนื่องจากไตรมาสนี้มีการส่งมอบเครื่องบินจำนวน 2 ลำ มูลค่า 14,683 ล้านบาท อย่างไรก็ตามหากพิจารณาโดยไม่รวมเครื่องบินแล้ว การลงทุนรวมของภาครัฐลดลงร้อยละ 30.6
3.4 มูลค่าส่วนเปลี่ยนสินค้าคงเหลือมูลค่าส่วนเปลี่ยนสินค้าคงเหลือในไตรมาสนี้ มีจำนวนเพิ่มขึ้นโดยเป็นผลมาจากการสะสมผลผลิตเกษตรซึ่งก็คือข้าวนาปีที่มีการเก็บเกี่ยวกันเกือบทั่วพื้นที่เพาะปลูก ส่วนสินค้าคงคลังประเภทสินค้าอุตสาหกรรมและเหมืองแร่กลับมีจำนวนลดลง แต่เมื่อรวมกับส่วนสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้นตามที่กล่าวข้างต้นแล้ว สินค้าคงคลังในไตรมาสนี้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นรวม 25,023 ล้านบาท เทียบเป็นสัดส่วนต่อ GDP เท่ากับร้อยละ 2.0 ปรับตัวสูงกว่าในไตรมาส 3 ที่สินค้าคงคลังลดลงเทียบเป็นร้อยละ 0.1 ต่อ GDP
3.5 การส่งออกสินค้าและบริการมูลค่าการส่งออกสินค้าและบริการที่แท้จริงในไตรมาสนี้ ขยายตัวสูงขึ้นร้อยละ 6.9 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีที่แล้ว สินค้าที่ยังส่งออกได้มูลค่าสูงตามราคาตลาดยังคงเป็นสินค้าอุตสาหกรรมซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 85.1 ของมูลค่าการส่งออกรวม ขยายตัวร้อยละ 25.7 โดยเฉพาะสินค้าที่ใช้วัตถุดิบจากต่างประเทศ เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น ในขณะที่การส่งออกสินค้าเกษตรตามราคาตลาดขยายตัวร้อยละ 10.1 โดยสินค้าที่ส่งออกมากไตรมาสนี้ ได้แก่ ยางพาราไตรมาสนี้มีอัตราการขยายตัวร้อยละ 28.4รายรับจากบริการไตรมาสนี้ลดลงอย่างต่อเนื่องร้อยละ 12.3 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีที่ผ่านมา เนื่องจากรายรับจากการให้บริการขนส่งหดตัวลง ในขณะที่รายรับจากนักท่องเที่ยวยังคงขยายตัวเล็กน้อย
3.6 การนำเข้าสินค้าและบริการมูลค่าการนำเข้าสินค้าและบริการที่แท้จริงในไตรมาสนี้ขยายตัวร้อยละ 7.2 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน โดยมูลค่าการนำเข้าสินค้าตามราคาตลาดยังคงเป็นสินค้าทุนซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 52.2 ขยายตัวร้อยละ 44.3 ในขณะที่สินค้าขั้นกลางขยายตัวร้อยละ 12.3 และสินค้าประเภทน้ำมันเชื้อเพลิงขยายตัวถึงร้อยละ 50.8 ส่วนสินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัวร้อยละ 23.0ค่าใช้จ่ายในการซื้อบริการที่แท้จริงจากต่างประเทศไตรมาสนี้หดตัวร้อยละ 7.5 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการซื้อบริการอื่นๆ หดตัวลง ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปต่างประเทศขยายตัวร้อยละ 15.6
4. ดุลการค้าและดุลบริการดุลการค้าในไตรมาสนี้เกินดุล 50,001 ล้านบาทยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสเดียวกันในปีก่อนที่เกินดุล 81,820 ล้านบาท ถึงแม้ว่าการส่งออกในไตรมาสนี้ยังคงขยายตัว แต่เนื่องจากสินค้าส่งออกส่วนใหญ่ยังคงเป็นสินค้าที่พึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ จึงทำให้มูลค่าการนำเข้าสินค้าในไตรมาสนี้ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน ราคาสินค้านำเข้าในไตรมาสนี้ก็ขยายตัวในอัตราที่สูงกว่าราคาสินค้าส่งออก จึงเป็นผลให้ไตรมาสนี้เกินดุลลดลง ด้านดุลบริการในไตรมาสนี้เกินดุล 49,618 ล้านบาท ลดลงจากที่เกินดุล 56,665 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เมื่อรวมดุลการค้าและดุลบริการพบว่า ในไตรมาสนี้ยังคงเกินดุลอยู่ 99,619 ล้านบาท ลดลงจากที่เกินดุล 138,485 ล้านบาทในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
5. ดัชนีราคาผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศดัชนีราคาผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศไตรมาสที่ 4 ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 2.0 จากไตรมาสเดียวกันในปีที่แล้ว ต่ำกว่าร้อยละ 2.8 ในไตรมาสที่ 3 ทั้งนี้คาดประมาณว่าทั้งปี 2543 ดัชนีราคาผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศขยายตัวร้อยละ 1.6
--สนง.คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ--
-สส-