(ต่อ2)ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่และทั้งปี 2550 และแนวโน้มปี 2551

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday February 28, 2008 15:19 —สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

- สินค้าอุปโภคบริโภคมูลค่าการนำเข้า ขยายตัวสูงร้อยละ 27.2 โดยที่ราคาในรูปเงินดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.3 และปริมาณเพิ่มขึ้นมากร้อยละ 20.8 เนื่องจากการแข็งค่าของเงินบาททำให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคนำเข้าในรูปเงินบาทลดลงร้อยละ 3.1 จึงเป็นเหตุจูงใจผู้บริโภคมากขึ้นสินค้าในหมวดที่เพิ่มขึ้นได้แก่ นมและผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ผัก ผลไม้ เสื้อผ้า รองเท้า นาฬิกาและส่วนประกอบ เป็นต้น - เชื้อเพลิง ปริมาณนำเข้าลดลงแต่ราคาเพิ่มขึ้น มูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.1 ราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 31.0 แต่ปริมาณการนำเข้าลดลงร้อยละ 7.0 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้พลังงานที่ผู้บริโภคหันมาใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น ได้แก่ ไบโอดีเซล แก๊สโซฮอล์ และเอ็นจีวี - การนำเข้าทั้งปี 2550 มีมูลค่าทั้งสิ้น 139,174 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.6 โดยราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.4 ปริมาณเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 กลุ่มสินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นมาก ได้แก่ น้ำมันดิบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามเมื่อคิดเป็นเงินบาทมูลค่าการนำเข้ารวมลดลงร้อยละ 0.1 - อัตราการค้า (Term of trade) ลดลง ในไตรมาสที่สี่ ราคานำเข้าเฉลี่ยในรูปเงินดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.5 ซึ่งเพิ่มขึ้นเร็วกว่าราคาส่งออกที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.5 จึงทำให้ไทยเสียเปรียบอัตราการค้าต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสที่สามเป็นต้นมาจึงทำให้ผลประโยชน์สุทธิต่อรายได้จากการส่งออกจึงเริ่มชะลอตัว - ดุลการค้ายังเกินดุลในระดับสูง 4,473 ล้านดอลลาร์สรอ. ในไตรมาสสี่หรือประมาณ 151,576 ล้านบาท รวมทั้งปี 2550 เกินดุลการค้าทั้งสิ้น 11,973 ล้านดอลลาร์ สรอ.หรือประมาณ 412,241 ล้านบาท - ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 6,184 ล้านดอลลาร์ สรอ.หรือประมาณ 209,491 ล้านบาทในไตรมาสที่สี่ รวมทั้งปี 2550 ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 14,923 ล้านดอลลาร์ สรอ.หรือประมาณ 514,517 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 6.1 ของ GDP - ด้านการผลิต สาขาการผลิตที่ขยายตัวได้ดีขึ้นจากไตรมาสที่สาม ได้แก่ สาขาอุตสาหกรรมที่ขยายตัวต่อเนื่องร้อยละ 8.1 จากที่ขยายตัวร้อยละ 4.6 4.5 และ 5.7 ในสามไตรมาสแรก เป็นผลมาจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกเป็นสำคัญ เช่น การผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์การผลิตหัวอ่านข้อมูลเครื่องปรับอากาศ การผลิตรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ และถุงมือยาง เป็นต้น สำหรับการผลิตเครื่องรับโทรทัศน์สีลดลงค่อนข้างต่อเนื่องจากไตรมาสที่สี่ปี 2548 เนื่องจากการทยอยปิดโรงงานผลิตจอภาพแบบหลอดภาพ(Cathod Ray Tube: CRT) ตามวัฏจักรของอุตสาหกรรมประเภทนี้ (Product life cycle) และประเทศไทยยังไม่สามารถผลิตจอภาพแบบ Liquid Crystal Display (LCD)ส่วนอุตสาหกรรมสำคัญ ๆ ที่ผลิตเพื่อใช้ในประเทศส่วนใหญ่ยังหดตัวต่อเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอ ปูนซิเมนต์ เหล็กและผลิตภัณฑ์ และมอเตอร์ไซต์ เป็นต้น สาขาโรงแรมและภัตตาคารขยายตัวร้อยละ 7.0 ปรับตัวดีขึ้นจากที่ขยายตัวร้อยละ 2.8 ในไตรมาสสาม ตามภาวะการท่องเที่ยวที่ขยายตัวได้ดีขึ้น สำหรับสาขาการก่อสร้างขยายตัวร้อยละ 5.2 ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 1.4 ของไตรมาสที่แล้ว สำหรับสาขาเกษตร ในไตรมาสที่ 4 ขยายตัวร้อยละ 2.9 ปรับตัวดีขึ้นจากร้อยละ 1.7 ในไตรมาสสาม โดยผลผลิตพืชที่สำคัญที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องได้แก่ ปาล์ม ยางพารา และอ้อยสำหรับผลผลิตข้าว มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ชะลอตัวลง แต่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ผลผลิตลดลง ส่วนราคาพืชผลที่สำคัญยังคงเพิ่มขึ้น โดยที่ราคาของกลุ่มพืชน้ำมันกลุ่มวัตถุดิบและเส้นใย และกลุ่มเครื่องดื่มสูงขึ้น ปี 2550 การผลิตภาคเกษตร อุตสาหกรรม ก่อสร้าง และบริการและอื่น ๆ ขยายตัวร้อยละ 3.9 5.8 2.1 และ 4.3 ตามลำดับ - การใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมมีการปรับเปลี่ยนไปสู่พลังงานทางเลือก เช่น แก๊สโซฮอล์ ไบโอดีเซลและก๊าซธรรมชาติมากขึ้น ในไตรมาสที่สี่การใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม(5) เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.2 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นไตรมาสที่สองติดต่อกันหลังจากที่ปริมาณการใช้ลดลงในช่วงครึ่งปีแรกของปี ปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาสที่แล้วที่ร้อยละ 1.8 อย่างไรก็ตามการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วและหมุนช้าลดลดร้อยละ 4.0 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ประชาชนหันไปใช้น้ำมันไบโอดีเซลมากขึ้น โดยการใช้น้ำมันไบโอดีเซลในไตรมาสที่สี่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องร้อยละ 1,391.9 จากฐานการใช้ที่ต่ำมากในปี 2549 สำหรับปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินโดยรวมลดลงร้อยละ 1.7 โดยปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินรวม 91 และ 95 ลดลงถึงร้อยละ 18.8 หมายเหตุ (5) รวมน้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน น้ำมันตา น้ำมันก๊าด น้ำมันเจ็ทและก๊าซแอลพีจี **************************************************************************** การใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (%YOY) 2550 Q1 Q2 Q3 Q4 ทั้งปี รวมการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม -3.2 -2.8 1.5 4.2 -0.2 น้ำมันเบนซิน 2.7 1.6 4.4 -1.7 1.7 ออกเทน (91+ 95) 2.4 -2.8 -4.7 -18.8 -6.1 แก๊สโซฮอล์ 3.8 21.7 46.2 77.0 37.8 น้ำมันดีเซล -0.3 0.7 5.6 1.8 1.8 หมุนเร็ว + หมุนช้า -0.8 -1.1 1.9 -4.0 -1.1 หมุนเร็ว บี 5 1,185.5 1,034.0 1,768.3 1,391.9 1,360.6 ก๊าซแอลพีจี 12.0 13.1 13.6 18.1 14.3 ก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์ 88.5 116.2 113.3 139.8 117.6 - ปริมาณการใช้แก๊สโซฮอล์เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 77 สะท้อนพฤติกรรมการใช้ของประชาชนที่ปรับเปลี่ยนไปสู่พลังงานทางเลือกอื่นๆ ที่มีราคาถูกกว่า หลังจากที่ราคาขายปลีกน้ำ มันภายในประเทศได้ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนอกจากนั้นยังเป็นผลจากการรณรงค์ของรัฐบาล เช่น การเปิดตัวแก๊สโซฮอล์ E20 ออกสู่ตลาด ควบคู่กับการลดภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ขนาดเล็กที่ประหยัดพลังงานและรถยนต์ที่ใช้แก๊สโซฮอล์ เพื่อเป็นการรณรงค์ให้ประชาชนประหยัดพลังงานและหันมาใช้แก๊สโซฮอล์มากขึ้น สำหรับการใช้ก๊าซแอลพีจีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยขยายตัวร้อยละ 18.1 เช่นเดียวกับก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์ที่ปริมาณการใช้เพิ่มขึ้นร้อยละ 139.8 สำหรับทั้งปี 2550 การใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมลดลงร้อยละ 0.2 โดยปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วและหมุนช้าลดลงร้อยละ 1.1 ในขณะที่การใช้ไบโอดีเซล (บี5) เพิ่มขึ้นร้อยละ 1,360.6 ปริมาณการใช้น้ำมันเบนซิน 95 และ 91 รวม ลดลงร้อยละ 6.1 แต่การใช้แก๊สโซฮอล์เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.8 สำหรับการใช้ก๊าซแอลพีจีและก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.3 และ 117.6 ตามลำดับด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ: อัตราการว่างงานต่ำ และมีเสถียรภาพด้านต่างประเทศ แต่แรงกดดันเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น - เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ไตรมาสที่สี่ของปี 2550 เงินเฟ้อทั่วไปเท่ากับร้อยละ 2.9 สูงกว่าร้อยละ 2.4 1.9 และ 1.6 ในไตรมาสแรกถึงไตรมาสที่สามที่ผ่านมา เนื่องจากต้นทุนราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งทำให้มีการปรับเพิ่มค่าขนส่งรถโดยสารประจำทางตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2550 เป็นต้นมา โดยในกรุงเทพฯ รถร่วมบริการ และมินิบัสปรับขึ้น50 สตางค์ รถประจำทางปรับอากาศ ปรับระยะละ1 บาท ส่วนในต่างจังหวัดรถร่วมบริการปรับอากาศชั้น1 และชั้น 2 ปรับ 3 สตางค์/กิโลเมตร รวมถึงการปรับค่าธรรมเนียมโดยสารเครื่องบินปรับค่าเพิ่มขึ้น และราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มที่ปรับสูงขึ้นตามการอนุมัติของคณะกรรมการนโยบายพลังงาน (กบง.) ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2550 เป็นต้นมา รวมทั้งปี 2550 เงินเฟ้อทั่วไปเท่ากับร้อยละ 2.3(6) - เงินเฟ้อพื้นฐานยังต่ำร้อยละ 1.1 ในไตรมาสสี่ แต่เริ่มมีแนวโน้มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับร้อยละ 0.9 และ 0.8 ในไตรมาสสองและสามที่ผ่านมา รวมทั้งปี เงินเฟ้อพื้นฐานเท่ากับร้อยละ 1.1 - ดัชนีราคาผู้ผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.0 ในไตรมาสสี่ ซึ่งสูงขึ้นมากจากร้อยละ 2.6 1.8 และ 1.5 ในไตรมาสแรก —ไตรมาสที่สามที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนว่าแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อจะยังเพิ่มขึ้นในปี 2551 จากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นประกอบกับความต้องการสินค้าและบริการที่มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น กลุ่มสินค้าที่มีราคาเพิ่มขึ้นมากได้แก่ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ยางและผลิตภัณฑ์พลาสติก และอาหาร เครื่องดื่มและยาสูบ รวมทั้งปีดัชนีราคาผู้ผลิตเท่ากับร้อยละ 3.3 - การจ้างงานเฉลี่ยในไตรมาสที่ 4 มีจำนวน 36.87 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 จากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว โดยมีการจ้างงานในภาคเกษตรจำนวน 15.35 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 และผู้มีงานทำนอกภาคเกษตร 21.00 ล้านคนเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 โดยสาขาที่มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ได้แก่สาขาอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 สาขาโรงแรมและภัตตาคารเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 ตามภาวะการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว และสาขาการก่อสร้างเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 ปรับตัวดีขึ้นจากที่ลดลงร้อยละ 4.9 ในไตรมาสที่สาม สำหรับอัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำเพียงร้อยละ 1.1 และ ณ สิ้นไตรมาสสี่มีผู้ประกันตนจำนวน 8.78 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีที่แล้ว อย่างไรก็ตามเครื่องชี้บางประการได้แสดงว่าเศรษฐกิจที่ขยายตัวดีขึ้นยังไม่ส่งผ่านไปยังตลาดแรงงานเต็มที่ประกอบกับธุรกิจที่ขยายตัวดีนั้นเป็นกลุ่มที่ใช้ทุนเป็นสำคัญ เช่น สัดส่วนตำแหน่งงานว่างต่อจำนวนผู้สมัครงานใหม่ลดลงจาก 1.53 เท่า ในไตรมาสที่สี่ปี 2549 เหลือเพียง 0.98 เท่า ในไตรมาสที่สี่ปี 2550 หมายเหตุ (6) ในเดือนมกราคม 2551 เงินเฟ้อทั่วไปเท่ากับร้อยละ 4.3 และเงินเฟ้อพื้นฐานเท่ากับร้อยละ 1.2 **************************************************************************** การจ้างงานเฉลี่ยปี 2550 มีจำนวน 36.25 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 โดยการจ้างงานภาคเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 และการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 ส่วนอัตราการว่างงานปี 2550 เฉลี่ยร้อยละ 1.4 - เสถียรภาพด้านต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ดี เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2550 เท่ากับ 87.455 พันล้านดอลลาร์ สรอ.(7) (และมี Net Forward Position อีก 19.086 พันล้านดอลลาร์) สูงกว่า 80.687 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ณ สิ้นกันยายน 2550 (และ Net Forward Position อีก 12.854 พันล้านดอลลาร์) ณ สิ้นปี 2550 เงินทุนสำรองระหว่างประเทศคิดเป็นประมาณ 3.9 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น และเท่ากับการนำเข้า 6.7 เดือน - ฐานะการคลังขาดดุลเงินสดซึ่งเป็นไปตามการดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2551 ในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2551 (ต.ค.-ธ.ค. 2550) รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังจำนวน 329,266 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีงบประมาณก่อนร้อยละ 8.0และมีรายจ่ายจำนวน 393,274 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณก่อนร้อยละ 31.0 เป็นผลให้มีดุลเงินงบประมาณขาดดุลจำนวน 64,008 ล้านบาท ซึ่งขาดดุลสูงกว่าไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2549 ถึง 68,639ล้านบาท และเมื่อรวมกับดุลเงินนอกงบประมาณที่ขาดดุลจำนวน 51,638 ล้านบาท อันเป็นผลมาจากการไถ่ถอนตั๋วเงินคลังสุทธิจำนวน 33,000 ล้านบาท และการจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวน10,060 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลมีดุลเงินสดก่อนกู้ขาดดุลจำ นวน 115,646 ล้านบาท ซึ่งขาดดุลเพิ่มขึ้นจำนวน 52,748 ล้านบาทจากระยะเดียวกันของปีงบประมาณก่อนทั้งนี้ รัฐบาลได้ชดเชยการขาดดุลด้วยการออกพันธบัตรรัฐบาลจำนวน 42,500 ล้านบาท และใช้เงินคงคลัง 73,146 ล้านบาท หมายเหตุ (7) ณ วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2551 เงินทุนสำรองระหว่างประเทศเท่ากับ94.655 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (และ Net Forward Position เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็น 21.204 พันล้านดอลลาร์) **************************************************************************** - หนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2550 มีจำนวน 3.17 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 37.9 ของ GDP เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับร้อยละ 37.84 ณ สิ้นเดือนกันยายน 2550 และต่ำกว่าเมื่อเทียบกับร้อยละ 40.48 ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2549 - ภาวะการเงิน : อัตราดอกเบี้ย ณ ราคาตลาด ทรงตัวแต่อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงลดลงเงินฝากชะลอตัวต่อเนื่อง และสินเชื่อเร่งตัวขึ้นโดยเฉพาะสินเชื่อภาคธุรกิจที่เริ่มขยายตัวหลังจากที่หดตัวต่อเนื่อง จึงทำให้สภาพคล่องเริ่มลดลง ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ. แต่ดัชนีค่าเงินบาทที่แท้จริงอ่อนค่าลง ตลาดหลักทรัพย์มีความผันผวนสูงตามการเคลื่อนย้ายการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ - อัตราดอกเบี้ยนโยบายทรงตัวที่ร้อยละ 3.25 ในช่วงไตรมาสที่สี่ คณะกรรมการนโยบายการเงิน ธปท. มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 3.25 ต่อปี เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศฟื้นตัวและแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น สำหรับทั้งปี 2550 ธปท. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายรวม 5 ครั้ง รวมทั้งสิ้น 1.75 จุด ในช่วงครึ่งแรกของปี จากร้อยละ 5 ต่อปี ณ สิ้นปี 2549 เป็นร้อยละ 3.25 ต่อปี ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2550 และทรงตัวที่ร้อยละ 3.25 ต่อปี จนถึงสิ้นปี ตลาดการเงินในต่างประเทศนั้น ธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย Fed fund rate เป็นครั้งแรกในไตรมาสที่สี่ รวมทั้งสิ้น 3 ครั้ง จากร้อยละ 5.25 ในเดือนสิงหาคม เหลือร้อยละ 4.25 ต่อปี ในเดือนธันวาคม และลดต่อเนื่องอีก 2 ครั้ง เหลือร้อยละ 3.0 ต่อปี ณ สิ้นเดือนมกราคม 2551 เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มอ่อนแอลงและมีความเสี่ยงต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจมากขึ้น สำหรับธนาคารกลางในประเทศยุโรปและญี่ปุ่นคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 4.0 และ 0.5 ต่อปีตามลำดับ - อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ทรงตัวตามอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงลดลงตามภาวะอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น ในไตรมาสสี่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน และ 12 เดือนเฉลี่ยของ 5 ธนาคารพาณิชย์ใหญ่ ทรงตัวอยู่ที่ร้อยละ 2.13 และ 2.32 ตามลำ ดับ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ชั้นดีแบบมีระยะเวลา(MLR) ทรงตัวอยู่ที่ร้อยละ 6.99 แต่เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนที่แท้จริงเป็นลบเท่ากับร้อยละ -0.89 และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่แท้จริงลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 3.78 สำหรับทั้งปี 2550อัตราดอกเบี้ยทั้งเงินฝากและเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ปรับตัวลดลง 219 และ76 bps ตามลำดับ ตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายรวม 175 bps - เงินฝากรวมของธนาคารพาณิชย์ชะลอตัว เงินฝาก ณ สิ้นไตรมาสที่สี่ขยายตัวจากระยะเดียวกันของปี 2549 เพียงร้อยละ 0.1 ชะลอตัวลงจากการขยายตัวร้อยละ 2.2 ในไตรมาสก่อนหน้า และร้อยละ 7.0 ในไตรมาสที่สี่ปี 2549 ทั้งนี้เนื่องจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมีการโยกย้ายเงินฝากประจำไปลงทุนในพันธบัตรออมทรัพย์ของ ธปท. และกองทุน RMF / LTF เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี และธนาคารพาณิชย์หันไประดมทุนด้วยการออกตั๋วแลกเงินมากขึ้นเพื่อลดการนำส่งเงินเข้ากองทุนฟื้นฟู - สินเชื่อรวมของธนาคารพาณิชย์เร่งตัวขึ้น โดยขยายตัวร้อยละ 3.9 สูงกว่าที่ขยายตัวร้อยละ 1.2 ในไตรมาสที่สามโดยสินเชื่อภาคครัวเรือนขยายตัวร้อยละ 8.4 ชะลอตัวต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2550 สินเชื่อให้ภาคธุรกิจกลับมาขยายตัวร้อยละ 0.6 หลังจากที่หดตัวต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2550 สะท้อนถึงการลงทุนที่เริ่มฟื้นตัว เมื่อพิจารณาสินเชื่อแยกตามประเภทสินเชื่อพบว่า สินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยยังคงขยายตัวได้ดี สินเชื่อเพื่อการพาณิชย์และอุตสาหกรรมการผลิตกลับมาขยายตัวที่ร้อยละ 3.2 และ 1.7 ตามลำดับหลังจากที่หดตัวตั้งแต่ไตรมาสที่สอง สินเชื่อให้กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เริ่มเร่งตัวขึ้น สินเชื่อที่ให้กับตัวกลางทางการเงินกันเอง และสินเชื่อภาคเกษตรมีแนวโน้มชะลอตัวในขณะที่สินเชื่อเพื่อการก่อสร้างเริ่มหดตัวเป็นครั้งแรกหลังจากที่ขยายตัวต่อเนื่องตั้งแต่กลางปี 2549 สำหรับปริมาณการใช้จ่ายบัตรเครดิตในไตรมาสสี่เพิ่มขึ้นตามการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี แม้ว่ายอดคงค้างบัตรเครดิตและการเบิกเงินสดล่วงหน้ายังคงชะลอตัวต่อเนื่องจากการที่ประชาชนระมัดระวังเรื่องการใช้จ่าย โดยรวมทั้งปี 2550 สินเชื่อขยายตัวในระดับต่ำในช่วงสามไตรมาสแรกของปีจากการหดตัวของสินเชื่อภาคธุรกิจเป็นสำคัญ และเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวในไตรมาสที่สี่ - สภาพคล่องเริ่มลดลง โดยสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก ณ สิ้นไตรมาสสี่ อยู่ที่ร้อยละ 94.8 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 90.1 ณ สิ้นไตรมาสสามปี 2550 และร้อยละ 91.3 ณ สิ้นไตรมาสที่สี่ปี 2549 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่สินเชื่อเริ่มเร่งตัวมากขึ้นและการโยกย้ายเงินฝากไปลงทุนในตราสารทางการเงินประเภทอื่น นอกจากนี้สภาพคล่องส่วนเกินของระบบธนาคารพาณิชย์ที่คำนวณเป็นสัดส่วนของสภาพคล่องที่พร้อมนำไปใช้ปรับตัวลดลง โดยมีมูลค่าประมาณ 822.2 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม เทียบกับ 909.1 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน แต่ยังอยู่ในระดับสูงเทียบกับ 702.7 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคมปี 2549 - หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ลดลง NPLs ในระบบสถาบันการเงินที่ไม่รวมสำนักงานวิเทศธนกิจและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ณ สิ้นไตรมาสสี่มีมูลค่ารวม 237.9 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 3.95 ของสินเชื่อรวม ลดลงจาก 260.7 พันล้านบาทในไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 4.44 ของสินเชื่อรวม - ธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศโดยรวมขาดทุนสุทธิ 8,077 ล้านบาท ในไตรมาสที่สี่ เทียบกับขาดทุนสุทธิ14,741 ล้านบาท ในไตรมาสที่สี่ของปี 2549 และกำไรสุทธิ 9,371 ล้านบาทในไตรมาสที่สาม โดยในไตรมาสที่สี่ ธนาคารพาณิชย์มีการขาดทุนจากการลงทุนมาก ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการขาดทุนในการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ รวมถึงการด้อยค่าของเงินลงทุนประเภทหุ้นและตราสารหนี้ แม้ว่าธนาคารพาณิชย์จะมีรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิเพิ่มขึ้น โดยรวมทั้งปี 2550 ธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศมีกำไรสุทธิ 8,637 ล้านบาท ลดลงจาก 54,538 ล้านบาท ในปี 2549 - เงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ. แต่ดัชนีค่าเงินบาทที่แท้จริงอ่อนค่าลง(8) ค่าเงินบาทในไตรมาสที่สี่มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 33.89 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นร้อยละ 0.34 และ 7.27 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าและระยะเดียวกันของปี 2549 ตามลำดับ ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม เนื่องจาก (1) ปัญหาวิกฤติ Sub-prime ในสหรัฐฯ ที่ขยายวงกว้างขึ้น โดยเฉพาะผลกระทบต่อผลกำไรของสถาบันการเงินใหญ่ๆ ทั่วโลกทำให้ค่าเงินดอลลาร์ สรอ. อ่อนลงและ (2) การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับสูงของประเทศไทย แต่อย่างไรก็ตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในไตรมาสสี่มีเสถียรภาพมากขึ้นเมื่อเทียบกับในช่วงไตรมาสที่สามและค่าเงินสกุลอื่น ๆ สำหรับค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลต่าง ๆ นั้น ค่าเงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และค่าเงินรูปีของอินโดนีเซีย แต่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักและสกุลภูมิภาค ทำให้ดัชนีค่าเงินบาท (Nominal Effective Exchange Rate) และดัชนีค่าเงินบาทที่แท้จริง (Real Effective Exchange Rate) เฉลี่ยในไตรมาสที่สี่อ่อนค่าลงจากไตรมาสที่สามที่ร้อยละ1.22 และ ร้อยละ 1.32 ตามลำดับ โดยเฉลี่ยทั้งปี 2550 ค่าเงินบาทมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 34.52 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. หรือแข็งค่าขึ้นร้อยละ 8.89 ทำให้ดัชนีค่าเงินบาทและค่าเงินบาทที่แท้จริงแข็งค่าขึ้นร้อยละ 6.15 และ 6.0 ตามลำดับ ในเดือนมกราคม 2551 ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 33.14 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. หรือแข็งค่าขึ้นร้อยละ1.52 จากค่าเฉลี่ยเดือนธันวาคม 2550 อันเนื่องมาจากผลกระทบของวิกฤติ Sub-prime ต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ทำให้ค่าเงิน ดอลลาร์ สรอ. อ่อนค่าลง และการเร่งขายดอลลาร์ของผู้ส่งออกไทยเป็นสำคัญ หมายเหตุ (8) ถ่วงน้ำหนักด้วยอัตราแลกเปลี่ยนเทียบกับสกุลเงินต่าง ๆ ของประเทศคู่ค้าและคู่แข่ง และราคาสัมพัทธ์ ****************************************************************************(ยังมีต่อ).../การเปลี่ยนแปลงค่าเงิน..

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ