3.2.2 ประเด็นภายในประเทศที่ต้องระมัดระวัง ประกอบด้วย (1) การฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชนยังไม่มีแนวโน้มที่ชัดเจน คาดว่านักลงทุนส่วนหนึ่งยังจะชะลอการตัดสินใจไปจนกว่าจะเห็นความชัดเจนของรัฐบาลชุดต่อไป สำหรับนักลงทุนต่างชาตินั้นจะรอให้การแก้ปรับปรุงพระราชบัญญัติธุรกิจต่างด้าวมีความชัดเจนมากขึ้นในเรื่องสิทธิการออกเสียง และความเป็นเจ้าของของผู้ถือหุ้นชาวต่างชาติ และการอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติดำเนินธุรกิจในกิจการที่เคยคุ้มครองไว้เฉพาะคนไทย นอกจากนี้ต้นทุนการผลิตยังสูงอยู่จากการปรับเพิ่มค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงที่สูงขึ้น และราคาน้ำมันที่ยังอยู่ใน ระดับค่อนข้างสูง อาจจะยังไม่จูงใจให้ขยายการลงทุนมาก เครื่องชี้การลงทุนในช่วงที่ผ่านมาแสดงว่า ความเชื่อมั่นนักลงทุนยังต่ำ เงินทุนของโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุน และได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนลดลงร้อยละ 32.7 และร้อยละ 43.8 ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2549 ซึ่งเป็นตัวแปรชี้นำว่าการลงทุนในปี 2550 อาจจะยังไม่ฟื้นตัวได้เต็มที่ นอกจากนี้อัตราการใช้กำลังการผลิตเริ่มชะลอตัว การลงทุนผ่านสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน วงเงิน (พันล้านบาท) 2548 10 เดือน (ม.ค. - ต.ค) (%) BOI ทั้งปี 2548 2549 - วงเงินขอรับการส่งเสริม 674.3 630.9 424.8 (%) (5.8) (34.6) (-32.7)- วงเงินได้รับอนุมัติส่งเสริม 571.3 486.3 272.9 (%) (-4.9) (50.8) (-43.8) ที่มา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (2) ราคาสินค้าเกษตรชะลอตัวและจะกระทบรายได้เกษตรกรโดยเฉพาะราคายางพารา ข้าวโพด และข้าวเปลือก (3) การปรับตัวของภาคการผลิตเพื่อการส่งออกภายใต้มาตรการทางการค้าที่เข้มงวดมากขึ้น อาจจะเป็นข้อจำกัดด้านการส่งออก อาทิ (i) ตั้งแต่ต้นปี 2550 สหรัฐฯ จะตัดสิทธิพิเศษทางภาษี (GSP) สำหรับการส่งออกอัญมณีซึ่งจะทำให้ผู้ส่งออกต้องเสียภาษีร้อยละ 6.5 (ii) นอกจากนี้สหรัฐฯ ยังจะพิจารณาว่าในปี 2550 จะตัดสิทธิ GSP ที่ให้กับการส่งออกโทรทัศน์ของไทยหรือไม่เนื่องจากพิจารณาว่าประเทศไทยมีศักยภาพในการส่งออกเครื่องรับโทรทัศน์สูงขึ้น จนทำให้ส่วนแบ่งตลาดของไทยเพิ่มขึ้น (iii) กลุ่มประเทศสหภาพยุโรปเตรียมประกาศใช้ระเบียบว่าด้วยการจำกัดการใช้สารอันตรายในเครื่องใช้ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์เล็กทรอนิกส์ (Restriction on Hazardous Substances: RoHS) ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการขนาดกลางขนาดเล็กต้องปรับตัวที่จะรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้น และ (iv) คณะกรรมาธิการยุโรปเตรียมกำหนดให้ผู้ส่งออกสินค้าอาหารและอาหารของสัตว์น้ำต้องมีใบรับรองการตรวจสอบสารไดออกซินก่อนส่งออกไปประเทศในสหภาพยุโรป ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการส่งออกสูงขึ้น 3.3 สมมุติฐานการประมาณการเศรษฐกิจปี 2550: เศรษฐกิจโลกขยายตัวร้อยละ 4.2 ราคาน้ำมันดิบดูไบราคาบาเรลละ 60 ดอลลาร์ สรอ. (1) เศรษฐกิจโลกในปี 2550 มีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 4.2 ชะลอลงจากที่ขยายตัวร้อยละ 4.8 ในปี 2549 และร้อยละ 4.4 ในปี 2548 จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจหลัก ๆ ทั้งสหรัฐฯ ยุโรป จีน ญี่ปุ่น และเอเชีย ซึ่งเป็นผลจากการดำเนินนโยบายการเงินการคลังที่เข้มงวดมากขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา การชะลอตัวของวัฏจักร อิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นไปตามวัฏจักรการลงทุนภาคเอกชนที่มีการขยายตัวสูงในช่วงปี 2547-2549 และผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ปี 2547 ดังนั้นในปี 2550 การค้าและการลงทุนระหว่างประเทศจะชะลอตัวและกระตุ้นเศรษฐกิจได้น้อยกว่าในปี 2548-2549 (2) ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยบาเรลละ 58-62 ดอลลาร์ สรอ. ในปี 2550 ราคาน้ำมันยังมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยคาดว่าราคาเฉลี่ยทั้งปี จะอยู่ในช่วง 58-62 ดอลลาร์ สรอ. โดยราคาเฉลี่ยที่เป็นค่ากลางเท่ากับ 60 ดอลลาร์ สรอ. ลดลงเล็กน้อยร้อยละ 2.3 จากราคาบาเรลละ 61.30 ดอลลาร์ในปี 2549 (ในปี 2549 คาดว่าราคาเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.45 จากราคาเฉลี่ย 49.33 ดอลลาร์ ต่อบาเรลในปี 2548) แต่นับว่ายังเป็นระดับราคาที่สูง โดยคาดว่าราคาน้ำมันจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในไตรมาสแรกตามฤดูกาลที่เป็นฤดูหนาว และทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อไปเนื่องจากข้อจำกัดด้านการผลิตจากการที่กลุ่มโอเปคได้ประกาศว่าจะลดปริมาณการผลิตโดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2549 เป็นต้นไป(E) ซึ่งจะทำให้มีกำลังการผลิตเหลืออยู่ประมาณ 1.3 - 1.8 ล้านบาเรลต่อวันในประเทศซาอุดิอาระเบีย ซึ่งแม้ว่าจะเป็นระดับที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ยังเป็นระดับที่ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 30 ปี ทั้งนี้ในเดือนพฤศจิกายน 2549 International Energy Agency (IEA) คาดว่าในปี 2550 ปริมาณการผลิตน้ำมันรวมของโลกจะเท่ากับ 86.4 ล้านบาเรล ลดลงจากวันละ 86.6 ล้านบาเรลในปี 2549 เล็กน้อย ในขณะที่ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากวันละ 85 ล้านบาเรลต่อวันในปี 2549 เป็นวันละ 86.5 ล้านบาเรล โดยที่มากกว่าครึ่งหนึ่งของความต้องการที่เพิ่มขึ้นในตลาดโลกนั้นเป็นความต้องการที่เพิ่มขึ้นของสหรัฐฯ และจีน ประกอบกับความต้องการใช้ของประเทศผู้ส่งออกน้ำมันเองก็เพิ่มขึ้นเนื่องจากรายได้จากการส่งออกน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องใน 2-3 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้เป็นที่คาดว่าปริมาณสะต็อคน้ำมันของประเทศ OECD จะลดลงในปลายปี 2550 * ณ วันที่ 7 พฤศจิกายน 2549 กรมสารนิเทศการพลังงาน กระทรวงพลังงานสหรัฐฯ (EIA) คาดว่าราคาน้ำมันดิบอ้างอิง West Texas Intermediate (WTI) ในปี 2549 จะอยู่ที่บาเรลละ 66 ดอลลาร์ สรอ. และลดลงเป็นเฉลี่ย 65 ดอลลาร์ ปี 2550 โดยปกติราคาอ้างอิง WTI จะสูงกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบประมาณบาเรลละ 3-5 ดอลลาร์ สรอ.(F) * ณ วันที่ 1 ธันวาคม Lehman Brothers คาดว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์เฉลี่ยในปี 2550 จะเท่ากับ บาเรลละ 72 ดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากบาเรลละ 66 ดอลลาร์ในปี 2549 โดยเฉลี่ยราคาน้ำมันดิบ เบรนท์จะสูงกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบประมาณบาเรลละ 3-8 ดอลลาร์ สรอ.(G)*********************************************************************************************************** (E) การลดการผลิตในครั้งนี้แตกต่างจากในครั้งก่อน ๆ คือเป็นเป้าหมายการลดปริมาณการผลิตที่มีการผลิตจริง แต่ไม่ใช่การปรับลด โควต้าการผลิต แต่อย่างไรก็ตามกลุ่มโอเปคไม่ได้มีการประกาศปริมาณการผลิตของแต่ละประเทศสมาชิกที่จะใช้เป็นจุดเริ่มต้นอ้างอิงในการลดการผลิต ซึ่งทำให้ยังมีความไม่แน่นอนเรื่องปริมาณการผลิตที่แต่ละประเทศจะดำเนินการ (F) Short-Term Energy Outlook, EIA, 7 November 2006 (G) Global Weekly Economic Monitor, Lehman Brothers, 1 December 2006 ************************************************************************************************************(ยังมีต่อ).../(3) ราคาส่งออก..