ด้านการผลิต:
- สาขาเกษตรกรรม ลดลงร้อยละ 2.5 เป็นผลมาจากผลผลิตมันสำปะหลังและยางพารา ลดลงร้อยละ 54.4 และ 0.3 ตามลำดับ เนื่องจากผลผลิตมันสำปะหลังได้รับความเสียหายจากการระบาดของเพลี้ยแป้ง ประกอบกับมีฝนตกชุกและเกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่โดยเฉพาะทางภาคใต้ทำให้ปริมาณการกรีดยางลดลง ในขณะที่ผลผลิตข้าวโพดเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.0 เนื่องจากเกษตรกรเร่งเก็บเกี่ยวผลผลิตเพื่อลดความชื้นลงก่อนเข้าสู่โครงการประกันรายได้ของรัฐบาล ส่วนผลผลิตปาล์มน้ำมันและข้าวเปลือกลดลงเท่ากันที่ร้อยละ 8.7 แต่ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา เป็นผลจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย ประกอบกับการที่เกษตรกรเร่งเก็บเกี่ยวผลผลิตเพราะคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันปาล์มจะลดลงตามราคาในตลาดซื้อขายล่วงหน้า สำหรับราคาสินค้าหมวดพืชผล ลดลงร้อยละ 15.3 เป็นผลมาจากราคายางพาราลดลงร้อยละ 37.7 อย่างไรก็ตามยังมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นตามราคาน้ำ มันดิบที่สูงขึ้น ตามการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศจีนและญี่ปุ่น ราคาข้าวโพดและข้าวเปลือก ลดลงร้อยละ 36.0 และ 19.5 ตามลำดับ เนื่องจากมีอุปทานส่วนเกินในตลาดข้าวโพดและข้าวเก็บเกี่ยวใหม่จากนาปรังราคาสินค้าหมวดปศุสัตว์เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 ตามราคาสุกรที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากอุปทานของสุกรในตลาดยังคงมีระดับต่ำ และราคาไก่เนื้อปรับตัวสูงขึ้นตามอุปสงค์เพื่อการส่งออก ราคาสินค้าหมวดประมงลดลงร้อยละ 0.8 ปรับตัวดีขึ้นตามความต้องการของตลาดต่างประเทศที่สูงขึ้น การลดลงของผลผลิตและราคาพืชผลทางการเกษตร ส่งผลทำให้รายได้เกษตรกรในไตรมาสนี้ ลดลงร้อยละ 17.5 แต่ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาซึ่งลดลงร้อยละ 21.5 เมื่อรวม 9 เดือนแรกของปีสาขาเกษตรกรรมลดลงร้อยละ 0.1
- สาขาอุตสาหกรรม ลดลงร้อยละ 5.9 ปรับตัวดีขึ้นจากที่ลดลงร้อยละ 8.7 ในไตรมาสที่ผ่านมา มีการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องกันเป็นไตรมาสที่สอง ตามการปรับตัวของอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อการส่งออกหลายชนิดโดยมีการขยายตัวร้อยละ 0.2 ซึ่งถือเป็นการขยายตัวครั้งแรกนับตั้งแต่ไตรมาสที่สาม ปี 2551 จากทิศทางเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ทำให้อุปสงค์ในการนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมมากขึ้น เห็นได้จากการมีคำสั่งซื้อสินค้าจากประเทศคู่ค้าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหัวอ่านข้อมูล และเครื่องใช้ไฟฟ้า ขยายตัวร้อยละ 6.3 และ 10.4 ตามลำดับ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่บริษัทแม่มีการปิดโรงงานบางแห่งในบางประเทศ ในขณะที่อุตสาหกรรมการผลิตเพื่อใช้ในประเทศลดลงร้อยละ 9.3 ปรับตัวดีขึ้นจากที่ลดลงร้อยละ 13.4 ในไตรมาสที่ผ่านมาเป็นผลจากสภาพเศรษฐกิจโดยรวมภายในประเทศที่เริ่มดีขึ้นอย่างชัดเจนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ทำให้ผู้บริโภคเริ่มมีความมั่นใจในการจับจ่ายใช้สอย กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการปรับตัวดีขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่เร่งผลิตตามยอดค้างจอง ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม กลุ่มอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวตามสถานการณ์การก่อสร้างที่ดีขึ้น ทั้งการก่อสร้างภาครัฐและเอกชนซึ่งเป็นผลจากนโยบายกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม มีอุตสาหกรรมที่ยังปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องได้แก่ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม อุตสาหกรรมเครื่องหนังเนื่องจากคำสั่งซื้อมีจำนวนน้อยลงและขาดความต่อเนื่อง ทำให้กลุ่มธุรกิจขนาดเล็กและกลางบางรายขาดสภาพคล่องและปิดกิจการลงสำหรับอัตราการใช้กำลังการผลิตโดยเฉลี่ยในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 62.4 เทียบกับร้อยละ 59.4 ในไตรมาสที่ผ่านมา และร้อยละ 68.0 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน แสดงให้เห็นว่าภาคอุตสาหกรรมเริ่มเพิ่มการผลิตเพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการขยายกำลังการผลิตจากไตรมาสที่ผ่านมาอย่างชัดเจน ได้แก่ อุตสาหกรรมกระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ (ร้อยละ 82.4 จากร้อยละ 77.6) ผลิตภัณฑ์เคมี (ร้อยละ 94.7 จากร้อยละ 87.2) ยางและผลิตภัณฑ์ยาง (ร้อยละ 51.0 จากร้อยละ 45.9) ยานยนต์และอุปกรณ์ขนส่ง (ร้อยละ 58.5 จากร้อยละ 45.9) ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ (ร้อยละ 68.3 จากร้อยละ 59.6)
- สาขาก่อสร้าง ขยายตัวร้อยละ 1.8 ปรับตัวดีขึ้นจากที่ขยายตัวร้อยละ 1.5 ในไตรมาสที่ผ่านมา จะเห็นได้จากปริมาณการจำ หน่ายวัสดุก่อสร้าง เช่น เหล็กเส้น และปูนซีเมนต์ ที่ขยายตัวร้อยละ 17.8 และ 2.9 ตามลำดับ การที่ภาคการก่อสร้างปรับตัวดีขึ้นเป็นผลมาจากการก่อสร้างภาครัฐซึ่งถือเป็นส่วนขับเคลื่อนสำคัญ โดยที่การลงทุนก่อสร้างของภาครัฐขยายตัวที่ร้อยละ 9.5 เป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล รวมถึงการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนด้านการก่อสร้างของรัฐ ส่วนการลงทุนการก่อสร้างภาคเอกชนหดตัวร้อยละ 6.3 ปรับตัวจากไตรมาสที่แล้วซึ่งหดตัวร้อยละ 7.5 ผู้ประกอบการภาคเอกชนเริ่มมีความมั่นใจในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและมีการลงทุนก่อสร้างที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะการก่อสร้างที่อยู่อาศัยในแนวเส้นทางรถไฟฟ้าและย่านชานเมือง เพื่อรองรับความต้องการที่อยู่อาศัยที่เริ่มกลับมาอีกครั้งหลังจากปัญหาทางการเมืองและเศรษฐกิจในประเทศเริ่มคลี่คลายลง รวมถึงสต็อกบ้านคงค้างบางส่วนสามารถขายได้หลังจากการใช้มาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาล ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างรวม ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 18.0 เป็นผลมาจากราคาเหล็ก คอนกรีตและซีเมนต์ ลดลงร้อยละ 38.0 8.7 และ 1.2 ตามลำดับ ส่วนดัชนีราคาหมวดไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ขยายตัวที่ร้อยละ 9.3
- สาขาอสังหาริมทรัพย์ ทรงตัวจากไตรมาสที่แล้ว แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้น และมีสัญญาณที่ดีขึ้นในไตรมาสนี้เช่น ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยในไตรมาสที่สาม ซึ่งมีค่า 55.8 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 48.1 ในไตรมาสที่สอง ประกอบกับผู้ประกอบการรายใหญ่เริ่มเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมตามแนวเส้นทางการก่อสร้างโครงข่ายรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีแดง ตามแนวส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าจากเขตธนบุรีเข้าสู่กทม. และแนวรถไฟฟ้า Airport Link ควบรวม City line รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของจำนวนที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อยและปานกลางซึ่งได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)
- สาขาการเงิน ไตรมาสที่สาม ขยายตัวร้อยละ 4.4 ชะลอลงจากไตรมาสที่ผ่านมา สะท้อนได้จากรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิประจำไตรมาสนี้ของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบหดตัวร้อยละ 4.8 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากรายได้จากดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์หดตัวร้อยละ 19.7 ขณะที่ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยหดตัวร้อยละ 46.4 โดยเป็นผลจากดอกเบี้ยจ่ายให้เงินรับฝากหดตัวร้อยละ 52.8 แสดงให้เห็นถึงปริมาณเงินฝากในระบบลดลง สำหรับแหล่งที่มาของสินเชื่อในไตรมาสนี้มีการเปลี่ยนแปลงแหล่งสินเชื่อทั้งภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนจากการขอสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์เป็นการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินอื่น ส่งผลให้ปริมาณสินเชื่อรวมของสถาบันการเงินอื่นขยายตัวร้อยละ 7.1 ในขณะที่ปริมาณสินเชื่อรวมจากธนาคารพาณิชย์ขยายตัวเพียงร้อยละ 0.3 สินเชื่อภาคธุรกิจที่ขออนุมัติจากทั้งธนาคารพาณิชย์และจากสถาบันการเงินทั้งระบบหดตัวร้อยละ 6.9 และ 7.2 ตามลำดับ เป็นการหดตัวต่อเนื่องจากไตรมาสที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าธุรกิจภาคเอกชนส่วนใหญ่ยังไม่มีแผนการขยายการลงทุนในช่วงนี้ ในขณะที่สินเชื่อภาคครัวเรือนที่ขออนุมัติจากธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินขยายตัวร้อยละ 3.8 และ 8.7 ตามลำดับ เนื่องจากภาคครัวเรือนเริ่มมีความมั่นใจในการบริโภคมากขึ้นตามสภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่เริ่มมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น
- สาขาโรงแรมและภัตตาคาร หดตัวร้อยละ 2.8 เทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากการผ่อนคลายความกังวลเกี่ยวกับการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิด A (H1N1) ประกอบกับการปรับตัวดีขึ้นของภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศเริ่มคลี่คลายลง ทำ ให้นักท่องเที่ยวต่างประเทศเริ่มมีความมั่นใจในการเดินทางมาประเทศไทยอีกครั้ง โดยไตรมาสนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาประเทศไทยมีจำนวน 3.29 ล้านคน ลดลงร้อยละ 2.7 เทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน แต่ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาที่จำ นวนนักท่องเที่ยวลดลงถึงร้อยละ 16.5 เป็นผลมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวจากทวีปยุโรปที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.42 ส่วนนักท่องเที่ยวจากทวีปเอเชียเช่น จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น เริ่มเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา ด้านอัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 46.85 ลดลงจากร้อยละ 53.37 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตามภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้อัตราการเข้าพักเฉลี่ยเริ่มใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เนื่องจากมาตรการจูงใจนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะการปรับลดราคาห้องพักต่อเนื่องจากไตรมาสแรกของปี เมื่อรวม 9 เดือนแรกของปีสาขาโรงแรมและภัตตาคารหดตัวร้อยละ 5.2 และมีจำนวนนักท่องเที่ยวรวม 9.90 ล้านคน ลดลงร้อยละ 12.07 เทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน
- การจ้างงาน การจ้างงาน 38.30 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.41 เทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน โดยมีการจ้างงานในภาคเกษตร 15.46 ล้านคน ลดลงร้อยละ 0.90 และการจ้างงานนอกภาคเกษตร 22.83 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.04 ซึ่งเป็นผลมาจากการจ้างงานในสาขาโรงแรมและภัตตาคารที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.40 รวมทั้งสาขาอุตสาหกรรมที่มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.48 เป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกนับตั้งแต่ไตรมาสที่สอง ปี 2551 สำหรับผู้ว่างงานเฉลี่ยในไตรมาสนี้มีจำนวน 4.60 แสนคน ลดลง 3.33 พันคน เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหรือลดลงร้อยละ 0.73 โดยมีอัตราการว่างงานร้อยละ 1.2
การจ้างงานมีเสถียรภาพมากขึ้น สืบเนื่องจากไตรมาสที่ผ่านมาการจ้างงานและภาวการณ์ว่างงานมีสัญญาณที่ดีขึ้นโดย (1) จำนวนผู้ประกันตนกรณีว่างงานในไตรมาสนี้ มีจำนวน 149.11 พันคน ลดลงต่อเนื่องจากจำนวน 247.78 และ 175.68 พันคน ในไตรมาสแรกและไตรมาสที่สอง ตามลำดับ (2) อัตราการว่างงานมีแนวโน้มลดลงจากร้อยละ 2.1 และ 1.8 ในไตรมาสแรกและสอง เป็นร้อยละ 1.2 ในไตรมาสที่สาม และ (3) โอกาสในการหางานทำเริ่มมีมากขึ้นและชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นเมื่อพิจารณาจากสัดส่วนตำแหน่งงานว่างต่อจำนวนผู้สมัครงานใหม่ที่เพิ่มขึ้น โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2552 อยู่ในระดับ 0.76 เท่า เทียบกับ 0.71 เท่า ในช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว และเพิ่มจากระดับ 0.36 และ 0.60 เท่า ณ สิ้นเดือนมีนาคมและมิถุนายน 2552 ตามลำดับ
การจ้างงานจำแนกตามสาขาการผลิต
(%YOY) 2551 2552 ทั้งปี Q1 Q2 Q3 Q4 H1 Q1 Q2 Q3 การจ้างงานรวม 2.1 1.6 3.1 1.9 1.8 2.1 1.9 2.3 1.4 - ภาคเกษตร 2.7 0.4 3.6 3.7 2.9 1.6 0.8 2.5 -0.9 - นอกภาคเกษตร 1.7 2.3 2.8 0.6 1.0 2.4 2.5 2.1 3.0 อุตสาหกรรม -3.0 0.4 -2.2 -6.5 -3.8 -4.2 -3.7 -3.2 1.5 ก่อสร้าง 3.3 0.5 2.0 3.8 6.9 4.3 3.4 5.6 0.4 โรงแรมและภัตตาคาร 1.8 1.2 2.5 2.2 1.2 7.5 7.7 7.3 8.4 อัตราการว่างงาน 1.4 1.6 1.4 1.2 1.3 1.9 2.1 1.8 1.2ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติ
ประสิทธิภาพการใช้น้ำมันโดยรวมดีขึ้นจากไตรมาสที่แล้ว
- สัดส่วนการใช้น้ำ มันต่อ GDP ในไตรมาสที่สามของปี 2552 สัดส่วนการใช้น้ำมันต่อ GDP อยู่ที่ร้อยละ 0.9249 ลดลงเมื่อเทียบกับร้อยละ 0.9677 ในไตรมาสที่สองปี 2552 แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับร้อยละ 0.8507 ของไตรมาสที่สามปี 2551 ซึ่งสัดส่วนการใช้น้ำมันต่อGDP ที่อยู่ในระดับสูง สะท้อนให้เห็นว่าพฤติกรรมการใช้น้ำมันทั้งเพื่อการเดินทางและเพื่อกิจกรรมอื่น ๆ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ในช่วง 9 เดือนแรกของปี2552 สัดส่วนการใช้น้ำมันต่อ GDP อยู่ที่ร้อยละ 0.9522 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 0.8991 ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว
- การใช้น้ำมันสำเร็จรูปภายในประเทศ: ปริมาณการใช้พลังงานรวมเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะการใช้พลังงานทางเลือกเพิ่มขึ้นในอัตราสูงอย่างต่อเนื่อง ในไตรมาสที่สามของปี 2552 ปริมาณการใช้แก๊สโซฮอล์เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.7 โดยมีปริมาณการใช้ประมาณ 12.0 ล้านลิตรต่อวัน (คิดเป็นร้อยละ 59 ของปริมาณการใช้เบนซินทั้งหมด) ลดลงเล็กน้อยจากการใช้ประมาณวันละ 12.4 ล้านลิตรในครึ่งแรกของปี เนื่องมาจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศทำให้ความต้องการใช้น้ำมันสำหรับการเดินทางโดยภาคครัวเรือนในกลุ่มที่ใช้รถยนต์ส่วนบุคคลลดลง อย่างไรก็ตามการใช้พลังงานทางเลือกชนิดอื่นยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยปริมาณการใช้ไบโอดีเซล(บี 5) เพิ่มขึ้นร้อยละ 107.9 ปริมาณการใช้อยู่ที่ประมาณ 22.37 ล้านลิตรต่อวัน ใกล้เคียงกับการใช้ประมาณวันละ 22.43 ล้านลิตรในครึ่งแรกของปี นอกจากนี้ปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 62.7 และปริมาณการใช้ก๊าซแอลพีจี ลดลงเล็กน้อยเพียงร้อยละ 1.3 ปริมาณการใช้น้ำมันเบนซิน 91 และ 95 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลดลงร้อยละ 10.4 และ 21.0 ตามลำดับ เป็นผลมาจากการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคมาใช้พลังงานทางเลือกอื่นทดแทน เช่น แก๊สโซฮอล์ และไบโอดีเซล ซึ่งมีราคาถูกกว่าแทน รวม 9 เดือนแรกของปี ปริมาณการใช้นำมันดีเซลหมุนเร็วและหมุนช้าลดลงร้อยละ 28.9 ขณะที่การใช้ไบโอดีเซล (บี 5) เพิ่มขึ้นร้อยละ 154.7 ปริมาณการใช้น้ำมันเบนซิน 91 และ 95 ลดลงร้อยละ 20.9 ขณะที่การใช้แก๊สโซฮอล์เพิ่มขึ้นร้อยละ 44.2 สำหรับการใช้ก๊าซแอลพีจีและก๊าซธรรมชาติสำ หรับรถยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 และ 105.4 ตามลำดับ
เสถียรภาพ
- เสถียรภาพในประเทศ
อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ในไตรมาสที่สาม เงินเฟ้อเท่ากับร้อยละ -2.2 เทียบกับร้อยละ -2.8 ในไตรมาสที่สอง ทั้งนี้ราคาสินค้าทั่วไปยังคงลดลงเนื่องมาจาก (1) การลดลงของราคาข้าว และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่มีราคาสูงมาก (2)มาตรการเรียนฟรี 15 ปีของรัฐบาล ทำให้ค่าใช้จ่ายในด้านการศึกษาลดลง (3) ความต้องการสินค้าและบริการทั่วไป (ไม่รวมอาหารสดและพลังงาน) ลดลง เห็นได้จากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยในไตรมาสที่สาม เท่ากับร้อยละ -0.5 เทียบกับร้อยละ -0.1 ในไตรมาสที่สอง
การใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม
รายการ 2551 2552 ทั้งปี H1 Q3 Q4 Q1 Q2 Q3 9 เดือน ปริมาณการใช้น้ำมันรวม(หน่วย: ล้านลิตร) 57,321 24,990 15,117 17,215 19,713 19,851 20,938 60,502 %YOY 49.68 37.17 58.21 63.60 66.36 51.07 38.51 50.86 น้ำมันเบนซิน -2.95 -3.58 -7.27 2.67 7.34 8.87 7.73 7.98 ออกเทน(91+95) -33.11 -29.17 -40.14 -34.60 -28.44 -21.31 -10.41 -20.90 แก๊สโซฮอล์ 92.41 102.15 91.27 81.51 65.08 48.06 24.74 44.19 น้ำมันดีเซล -5.74 -2.15 -14.40 -4.78 -1.29 4.08 12.21 4.47 หมุนเร็ว+หมุนช้า -23.28 -15.22 -33.92 -30.06 -31.48 -31.96 -20.98 -28.87 หมุนเร็ว บี5 502.41 693.64 498.98 384.62 240.20 154.81 107.91 154.67 ก๊าซแอลพีจี 16.57 19.24 27.13 1.79 0.71 1.77 -1.31 0.31 NGV 229.76 207.85 268.89 224.16 184.24 109.39 62.72 105.41ที่มา : กระทรวงพลังงาน
ในไตรมาสที่สาม ดัชนีราคาในหมวดอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 เทียบกับเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.0 ในไตรมาสที่สอง เป็นผลมาจากการลดลงของราคาข้าว แป้ง ผลิตภัณฑ์จากแป้ง และเครื่องปรุงอาหาร รวมทั้งน้ำมันและไขมัน ขณะที่ราคาผักและผลไม้เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.8 เทียบกับร้อยละ 8.8 ในไตรมาสที่สอง เป็นผลจากสภาพอากาศที่เอื้ออำ นวยทำ ให้ผลผลิตออกสู่ตลาดมากและประกอบกับเป็นช่วงปลายฤดูกาลของผลไม้หลายชนิด ส่วนดัชนีราคาสินค้าหมวดที่มิใช่อาหารลดลงร้อยละ 5.3 เทียบกับลดลงร้อยละ 8.2 ในไตรมาสที่สอง เป็นผลมาจากราคาในหมวดพาหนะการขนส่ง และการสื่อสารลดลงร้อยละ 12.4 (โดยเฉพาะราคาน้ำมันเชื้อเพลิงลดลงร้อยละ 15.5) และค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาที่ลดลงร้อยละ 10.2 อันเนื่องมาจากนโยบายเรียนฟรี 15 ปีของรัฐบาลส่วนราคาค่าน้ำค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 เมื่อเทียบกับที่ลดลงร้อยละ 22.3 ในไตรมาสที่สองที่ผ่านมา เนื่องจากมีการปรับเกณฑ์การปรับลดค่าน้ำ ค่าไฟของภาครัฐ และเมื่อรวม 9 เดือนแรกของปีเงินเฟ้อเท่ากับร้อยละ -1.7 โดยดัชนีราคาในหมวดอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 และหมวดที่มิใช่อาหารและเครื่องดื่มลดลงร้อยละ 6.9
ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิตในไตรมาสที่สามลดลงอย่างต่อเนื่องร้อยละ 10.2 จากไตรมาสก่อนที่ลดลงร้อยละ 7.0 เป็นผลมาจากราคาผลิตภัณฑ์เหมืองแร่ เกษตร และอุตสาหกรรมที่ลดลงร้อยละ 12.4, 10.9 และ 10.0 ตามลำดับ ซึ่งชี้ว่าแรงกดดันด้านต้นทุนการผลิตยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง และเมื่อรวม 9 เดือนแรกของปี ดัชนีราคาผู้ผลิตลดลงร้อยละ 7.0