สาขาก่อสร้าง ขยายตัวร้อยละ 8.1 เร่งตัวขึ้นจากที่ขยายตัวร้อยละ 6.0 ในไตรมาสที่ผ่านมา โดยมีแรงหนุนจากการก่อสร้างภาครัฐที่ขยายตัวถึงร้อยละ 7.9 เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 2.5 ในไตรมาสที่ผ่านมา ในขณะที่การก่อสร้างภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 8.4 ชะลอตัวจากร้อยละ 9.7 ในไตรมาสที่ผ่านมา พื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างรวมชะลอลงมากจากร้อยละ 35.4 เหลือเพียงร้อยละ 10.4 โดยมีสัญญาณชะลอตัวในทุกประเภทการก่อสร้าง โดยเฉพาะพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างเพื่อที่อยู่อาศัยและอุตสาหกรรม ส่วนหนึ่งเป็นผลจากสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในช่วงเดือนเมษายน — พฤษภาคม รวมทั้งการชะลอการก่อสร้างจากปัญหาสิ่งแวดล้อมตามรัฐธรรมนูญมาตรา 67 วรรค 2 ในกรณีมาบตาพุด อย่างไรก็ตามปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ ยังคงขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 12.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ปริมาณการจำหน่ายวัสดุก่อสร้างประเภทอื่น ๆ เช่น เหล็กเส้น และเหล็กลวด หดตัวร้อยละ 6.4 และ 1.3 ตามลำดับ รวมครึ่งแรกของปีสาขาก่อสร้างขยายตัวร้อยละ 7.1
ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างขยายตัวร้อยละ 5.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยมีสาเหตุสำคัญจากราคาเหล็กที่ปรับตัวสูงขึ้นถึงร้อยละ 15.7 ในขณะที่ราคาวัสดุก่อสร้างในหมวดอื่นๆ เช่น ซีเมนต์ และคอนกรีต ลดลงร้อยละ 7.5 และ 0.9 ตามลำดับ
"...สาขาก่อสร้างปรับตัวดีขึ้นตามการเร่งตัวของภาครัฐ ขณะที่การก่อสร้างภาคเอกชนมีสัญญาณชะลอตัวลง..."สาขาอสังหาริมทรัพย์ ขยายตัวร้อยละ 1.6 ชะลอตัวลงจากร้อยละ 3.6 ในไตรมาสที่ผ่านมา ปริมาณที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนลดลงมากเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงเดือนเมษายนมีจำนวนที่อยู่อาศัยที่ผู้ประกอบการนำมาจดทะเบียนรวมเพียง 3,040 หน่วย ซึ่งต่ำที่สุดในรอบ 2 ปี เช่นเดียวกับการโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ที่ขยายตัวร้อยละ 31.7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่มีการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 59.2 โดยเฉพาะการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดที่หดตัวลงถึงร้อยละ 33.1 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามปริมาณการโอนกรรมสิทธิ์เริ่มปรับตัวดีขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ต่ออายุมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ไปจนถึงสิ้นเดือนมิถุนายนจากเดิมที่สิ้นสุดในเดือนมีนาคม 2553
"...สาขาอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวร้อยละ 1.6 ชะลอตัวลงจากไตรมาสที่ผ่านมา..."สาขาโรงแรมและภัตตาคาร ขยายตัวร้อยละ 0.2 เทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน ชะลอตัวจากไตรมาสที่ผ่านมาที่ขยายตัวร้อยละ 15.3 เป็นผลมาจากปัญหาความไม่สงบทางการเมืองภายในประเทศและจากเหตุการณ์ภูเขาไฟในประเทศไอซ์แลนด์ปะทุเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2553 ส่งผลกระทบต่อการจราจรทางอากาศทั้งยุโรปเหนือและยุโรปตะวันตก ทำให้ในไตรมาสนี้มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาเมืองไทยจำนวน 2.9 ล้านคน ลดลงร้อยละ 3.6 อัตราการเข้าพักเฉลี่ยเหลือเพียงร้อยละ 39.2 ตามการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยพื้นที่ในภาคกลางซึ่งเป็นบริเวณที่มีเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 35.9 โดยนักท่องเที่ยวส่วนหนึ่งเดินทางไปทางภาคใต้แทนมากขึ้น ทำให้อัตราการเข้าพักในภาคใต้สูงที่สุดอยู่ที่ร้อยละ 49.9 รวมครึ่งแรกของปีสาขาโรงแรมและภัตตาคารขยายตัวร้อยละ 7.9
"...จานวนนักท่องเที่ยวหดตัว ร้อยละ 3.6 จากปัญหาความไม่สงบทางการเมืองภายในประเทศ..."อย่างไรก็ตาม ภาคการท่องเที่ยวเริ่มปรับตัวดีขึ้นในช่วงท้ายของไตรมาส โดยเห็นได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่ลดลงเพียงร้อยละ 1.1 ในเดือนมิถุนายนเทียบกับที่ลดลงถึงร้อยละ 12.9 ในเดือนพฤษภาคม และปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 14.2 ในเดือนกรกฎาคม กลุ่มนักท่องเที่ยวที่เริ่มมีความเชื่อมั่นและเดินทางมาประเทศไทยอีกครั้ง ได้แก่ นักท่องเที่ยวจากประเทศประเทศจีน มาเลเซีย และเกาหลีใต้ รวม 7 เดือนของปี มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศทั้งหมดจำนวน 8.8 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
การจ้างงาน ไตรมาสที่ 2 ปี 2553 มีการจ้างงาน 37.46 ล้านคน ลดลงร้อยละ 0.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ตามการจ้างงานของภาคเกษตรที่ลดลงร้อยละ 6.6 ส่วนนอกภาคเกษตรขยายตัวร้อยละ 3.1 โดยเฉพาะสาขาก่อสร้างและค้าส่งค้าปลีกเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.3 และ 4.9 ตามลำดับ ตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศและทางการก่อสร้าง
"...การจ้างงานลดลงร้อยละ 0.5 อัตราการว่างงานร้อยละ 1.3 ภาวะตึงตัวของแรงงานเริ่มผ่อนคลายลง..."การจ้างงาน ไตรมาสที่ 2 ปี 2553 มีการจ้างงาน 37.46 ล้านคน ลดลงร้อยละ 0.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ตามการจ้างงานของภาคเกษตรที่ลดลงร้อยละ 6.6 ส่วนนอกภาคเกษตรขยายตัวร้อยละ 3.1 โดยเฉพาะสาขาก่อสร้างและค้าส่งค้าปลีกเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.3 และ 4.9 ตามลำดับ ตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศและทางการก่อสร้าง
สำหรับผู้ว่างงานเฉลี่ยในไตรมาสนี้มีจำนวน 4.99 แสนคน ลดลงจำนวน 1.74 แสนคนเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือลดลงร้อยละ 25.9 โดยมีอัตราการว่างงานร้อยละ 1.3 ส่งผลให้จำนวนผู้ขอขึ้นทะเบียนเพื่อขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานลดลงร้อยละ 18.5
สถานการณ์ตึงตัวของแรงงานในสาขาอุตสาหกรรมเริ่มผ่อนคลาย สะท้อนจากสัดส่วนของตำแหน่งงานว่างทั้งประเทศต่อผู้สมัครงานใหม่ เท่ากับ 0.7 เทียบกับไตรมาสที่ผ่านมาที่ 1.0 ส่งผลให้การจ้างงานในสาขาดังกล่าวขยายตัวร้อยละ 0.8 จากที่ลดลงร้อยละ 1.1 ในไตรมาสที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ยังมีบางกลุ่มอุตสาหกรรมที่ประสบกับปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่มีฝีมือ ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์
- ภาวะการคลัง
ในไตรมาสที่สามของปีงบประมาณ 2553 (เม.ย.-มิ.ย.53) รัฐบาลจัดเก็บรายได้เป็นจำนวน 554,866 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายร้อยละ 24.0 และสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 20.6 รวม 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2553 (ต.ค. 52 - มิ.ย.53) จัดเก็บรายได้สูงกว่าเป้าหมาย 246,177 ล้านบาทหรือร้อยละ 24.8
"...รัฐบาลจัดเก็บรายได้สูงกว่าเป้าหมาย ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ แต่เบิกจ่ายงบประมาณประจาปีได้ต่ากว่าเป้าหมาย..."ส่วนการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2553 ในไตรมาสนี้มีจำนวน 379,479 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 22.3 ของวงเงินงบประมาณ ต่ำกว่าเป้าหมายที่คณะรัฐมนตรีกำหนดไว้ที่ร้อยละ 25.0 และต่ำกว่าไตรมาสสามของปี 2552 ร้อยละ 10.5 โดยรายจ่ายประจำมีการเบิกจ่ายร้อยละ 23.6 ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำ และรายจ่ายลงทุนเบิกจ่ายร้อยละ 13.8 ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุน ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 23.0 ค่อนข้างมาก ทั้งนี้ เนื่องจากในไตรมาสนี้มีช่วงวันหยุดราชการหลายวัน ประกอบกับเกิดปัญหาความไม่สงบทางการเมืองขึ้นในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม 2553 อย่างไรก็ตาม เมื่อรวม 9 เดือนแรกของปีงบประมาณมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำปี 2553 สะสมทั้งสิ้น 1,208,779 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 71.0 ของกรอบวงเงินงบประมาณ สูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 68.0
สำหรับการเบิกจ่ายงบประมาณโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 (SP2) ในไตรมาสนี้มีการเบิกจ่ายจำนวน 73,086 ล้านบาทหรือร้อยละ 23.9 ของวงเงินที่ได้รับจัดสรร 305,369 ล้านบาท โดยรวมแล้ว ณ สิ้นไตรมาสที่สามของปีงบประมาณ 2553 มีการเบิกจ่ายแล้วทั้งสิ้น 178,876 ล้านบาทหรือร้อยละ 58.6 ของวงเงินงบประมาณที่ได้รับการจัดสรร
"...รวม 9 เดือนงบโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งเบิกจ่ายสะสมได้ ร้อยละ 58.6 ของวงเงินที่ได้รับจัดสรร..."หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2553 มีจานวน 4,144,261 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 42.6 ของ GDP เพิ่มขึ้นจาก 4,124,712 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2553 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของหนี้ภายในประเทศที่รัฐบาลกู้โดยตรง ได้แก่ เงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณและการบริหารหนี้เงินกู้เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ตามโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555
"...ฐานะการคลังอยู่ในเกณฑ์ดี หนี้สาธารณะคิดเป็นร้อยละ 42.6 ของ GDP..."- ภาวะการเงิน
อัตราดอกเบี้ยนโยบายทรงตัว ในไตรมาสสองของปี 2553 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติ คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 1.25 ต่อปี เพื่อสนับสนุนความต่อเนื่องของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ประกอบกับมีความกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ ประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิม ยกเว้นประเทศอินเดีย ออสเตรเลีย ไต้หวัน และมาเลเซียที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ในเดือนกรกฎาคม 2553 คณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นร้อยละ 0.25 เนื่องจากเห็นว่าความจำเป็นในการพึ่งพานโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากเป็นพิเศษน้อยลง
"...ประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกยังคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่า..."อัตราดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ยังคงอยู่ในระดับต่า อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทรงตัวอยู่ที่ร้อยละ 0.68 และ 5.86 ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่แท้จริงเท่ากับร้อยละ -2.63 และ 2.56 ต่อปีตามลำดับ
"...อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ทรงตัว..."เงินฝากและการลงทุนในตั๋วแลกเงิน (B/E) ขยายตัวร้อยละ 2.2 เร่งตัวขึ้นจากร้อยละ 1.1 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยตั๋วแลกเงินยังคงขยายตัวดีเนื่องจากผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ในขณะที่สินเชื่อภาคเอกชน ขยายตัวร้อยละ 8.3 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 6.0 ในไตรมาสที่แล้ว จากการขยายตัวของสินเชื่อภาคครัวเรือนโดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อการจัดหาที่อยู่อาศัยที่เร่งตัวขึ้นจากมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนที่สิ้นสุดในเดือนมิถุนายนและสินเชื่อเพื่อการซื้อ/เช่าซื้อรถยนต์ที่ขยายตัวสูง สำหรับสินเชื่อธุรกิจหดตัวลดลงร้อยละ 2.5 ปรับตัวดีขึ้นจากการหดตัวร้อยละ 6.5 ในไตรมาสที่แล้วตามการลงทุนภาคเอกชนที่ขยายตัวขึ้น ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตชะลอตัวลงเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมือง สัดส่วน NPLs(2) ต่อสินเชื่อคงค้างยังลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ร้อยละ 2.40 จากร้อยละ 2.50 ในไตรมาสก่อน
"...เงินฝากและสินเชื่อภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่อง..."สัดส่วนสินเชื่อ (ไม่รวมเงินให้กู้ยืมผ่านธุรกรรมซื้อคืนพันธบัตร) ต่อเงินฝากที่รวมตั๋วแลกเงินเพิ่มขึ้น จากร้อยละ 88.6 ในไตรมาสก่อนหน้าเป็นร้อยละ 91.2 ตามการขยายตัวของสินเชื่อ ส่งผลให้สภาพคล่องส่วนเกินในระบบธนาคารพาณิชย์ลดลงจาก 1.45 ล้านล้านบาท ในไตรมาสก่อนหน้า เป็น 1.18 ล้านล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลดลงในส่วนของ Net R/P Position
"...สภาพคล่องลดลงมากใน Net R/P Position...""...ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง..."อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ. มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยไตรมาสที่สองของปี 2553 เท่ากับ 32.34 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นร้อยละ 1.52 จากไตรมาสก่อนหน้า และร้อยละ 6.64 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2552 โดยค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ. เนื่องจากการไหลเข้าของเงินลงทุนตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย
ค่าเงินบาทยังแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินของประเทศคู่ค้า/คู่แข่งอื่นๆ ส่งผลให้ดัชนีค่าเงินบาท (Nominal Effective Exchange Rate: NEER) เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.21 และดัชนีค่าเงินบาทที่แท้จริง (Real Effective Exchange Rate: REER) เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.77 ล่าสุดในเดือนกรกฎาคม 2553 ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ 32.28 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. และในวันที่ 1-19 สิงหาคมเงินบาทยังคงแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องโดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 31.91 บาทต่อดอลลาร์ สรอ.
หมายเหตุ
(2) NPLs ในระบบสถาบันการเงินที่ไม่รวมสำนักงานวิเทศธนกิจและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์
เงินทุนเคลื่อนย้ายไหลเข้าสุทธิ(3) ในไตรมาสที่สอง ปี 2553 เงินทุนเคลื่อนย้ายเกินดุล 3.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงจาก 5.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลจากเงินทุนไหลเข้าในภาคธนาคาร ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 2.3 พันล้านดอลลาร์ สรอ. จากเดิมที่ 0.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในขณะที่เงินทุนไหลเข้าภาคนอกธนาคารปรับลดลงมาอยู่ที่ 0.7 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
"...เงินทุนไหลเข้าในภาคธนาคารเพิ่มขึ้นมาก..."เงินทุนสารองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2553 เท่ากับ 151.52 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (และมี Net Forward Position อีก 11.02 พันล้านดอลลาร์) ซึ่งคิดเป็นประมาณ 4.8 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น และเท่ากับมูลค่าการนำเข้า 3.5 เดือน
"...เงินทุนสารองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม เท่ากับ 151.52 พันล้านดอลลาร์ สรอ...."ดุลบัญชีเดินสะพัดในไตรมาสที่สองเกินดุล 1,297 ล้านดอลลาร์ สรอ. (หรือเท่ากับ 42,041 ล้านบาท) เกินดุลต่อเนื่องจากไตรมาสที่แล้วที่เกินดุล 5,252 ล้านดอลลาร์ สรอ. โดยเป็นผลจากการเกินดุลการค้า 4,645 ล้านดอลลาร์ สรอ. และการขาดดุลบริการ รายได้ และเงินโอน 3,348 ล้านดอลลาร์ สรอ.
"...ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน..."อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ในไตรมาสที่สองของปี 2553 เงินเฟ้อทั่วไปเท่ากับร้อยละ 3.3 ลดลงจากไตรมาสแรกที่อยู่ที่ร้อยละ 3.8 เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคาอาหารสดประเภทผักผลไม้และสินค้าอุปโภคเป็นหลัก โดยดัชนีราคาในหมวดอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 ส่วนดัชนีราคาในหมวดที่มิใช่อาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศ และการยกเลิกมาตรการลดภาระค่าครองชีพเกี่ยวกับค่าน้ำประปาตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2553 ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเท่ากับร้อยละ 0.9 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 0.4 ในไตรมาสที่แล้ว แสดงถึงราคาสินค้าทั่วไปที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 เงินเฟ้อทั่วไปเท่ากับร้อยละ 3.5 และเงินเฟ้อพื้นฐานเท่ากับร้อยละ 0.7(4)
"...อัตราเงินเฟ้อในไตรมาสที่สอง เท่ากับร้อยละ 3.3 ลดลงจากไตรมาสแรก..."หมายเหตุ
(3) ตัวเลขเงินทุนเคลื่อนย้าย ณ สิ้นไตรมาสหนึ่ง ปี 2553 เป็นตัวเลขประมาณการที่อ้างอิงจากข้อมูลเร็วบางส่วนจากธนาคารแห่งประเทศไทยและจะมีการปรับในเดือนถัดไป
(4) ในเดือนกรกฎาคม 2553 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเท่ากับร้อยละ 3.4 และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเท่ากับร้อยละ 1.2
ดัชนีราคาผู้ผลิตในไตรมาสที่สอง ของปี 2553 ขยายตัวร้อยละ 9.3 สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของราคาผลผลิตเกษตรที่มีปริมาณออกสู่ตลาดน้อย เนื่องจากสภาพอากาศที่แห้งแล้งส่งผลให้ผลผลิตเสียหาย นอกจากนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงแรงกดดันด้านต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และราคายางพาราที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตามความต้องการในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว และยอดคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาผู้ผลิตชะลอลง จากร้อยละ 12.0 ในไตรมาสแรก ดังนั้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 ดัชนีราคาผู้ผลิตขยายตัวร้อยละ 10.6(5)
ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ผันผวนสูง ดัชนีตลาดหลักทรัพย์เคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 714.7 — 820.1 จุด โดยในช่วงต้นไตรมาสดัชนีปรับตัวลดลงจากเหตุการณ์ความไม่สงบภายในประเทศและปัญหาวิกฤติหนี้สาธารณะในยุโรป ที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน แต่กลับมาฟื้นตัวได้ในช่วงปลายไตรมาส หลังจากสถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลาย ประกอบกับการขยายตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคที่อยู่ในระดับสูง และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสแรกมีกำไรดีต่อเนื่องจากไตรมาสที่สี่ปี 2552 โดย ณ สิ้นไตรมาส ดัชนีราคาปิดที่ 797.3 จุด เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 788.0 จุด ในไตรมาสก่อนหน้า นักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิ 59.9 พันล้านบาท เทียบกับการซื้อสุทธิ 42.5 พันล้านบาทในไตรมาสก่อนหน้า ส่วนมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นจาก 19.1 พันล้านบาท เป็น 21.4 พันล้านบาท และตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมจนถึงวันที่ 19 สิงหาคม 2553 แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจและการแข็งค่าขึ้นของค่าเงินในภูมิภาคเอเชีย ส่งผลให้นักลงทุนเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น ทำให้ดัชนีปิด ณ วันที่ 19 สิงหาคม ที่ 891.2 จุด มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเป็น 31.2 พันล้านบาท นักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม — 19 สิงหาคม รวม 17.5 พันล้านบาท
"...ตลาดหลักทรัพย์ค่อนข้าง ผันผวนแต่ปรับตัวดีขึ้นในช่วงปลายไตรมาส..."ตลาดตราสารหนี้ปรับตัวดีขึ้น นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ มูลค่าซื้อขายเฉพาะธุรกรรมซื้อขายขาด (Outright) ในไตรมาสที่สอง เพิ่มขึ้นเป็น 64.8 พันล้านบาทต่อวัน จาก 61.4 พันล้านบาทต่อวันในไตรมาสแรก ดัชนีราคาปรับตัวดีขึ้น เนื่องจาก (1) ปริมาณพันธบัตรออกใหม่ในตลาดที่น้อยลง และ (2) การซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ ที่เพิ่มขึ้นเป็น 26.6 พันล้านบาท จากการไหลเข้าของเงินลงทุนในภูมิภาค ในเดือนกรกฎาคม 2553 มูลค่าซื้อขายเฉพาะธุรกรรมซื้อขายขาดเฉลี่ยต่อวันและดัชนีราคาลดลงเล็กน้อย อัตราผลตอบแทน (Yield) ปรับเพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่นักลงทุนต่างชาติยังเพิ่มการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทย โดยมียอดซื้อสุทธิสะสมต่อเนื่อง
"...มูลค่าซื้อขายและดัชนีราคาในตลาดตราสารหนี้ปรับตัวดีขึ้น นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิต่อเนื่อง..."หมายเหตุ
(5) ในเดือนกรกฎาคม 2553 ดัชนีราคาผู้ผลิตขยายตัวร้อยละ 11.1
การระดมทุนของภาคเอกชนเพิ่มขึ้น การระดมทุนของภาคเอกชนในไตรมาสนี้มีมูลค่ารวม 312.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 294.1 พันล้านบาท ในไตรมาสเดียวกันของปี 2552 โดยเป็นการระดมทุนในตราสารหนี้ 275.5 พันล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในภาคธุรกิจภาคการเงินและอสังหาริมทรัพย์ ส่วนการระดมทุนในตราสารทุนในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นเป็น 36.8 พันล้านบาท สูงกว่ามูลค่ารวมทั้งปี 2552 ที่ 29.5 พันล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการระดมทุนจากภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจในทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจในอนาคต
"...การระดมทุนผ่านตราสารทุนเพิ่มขึ้นมาก ส่วนการระดมทุนในตราสารหนี้ยังอยู่ในระดับสูง..."