สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ : ข้าว

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday August 9, 2018 15:28 —สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 27 ก.ค. - 2 ส.ค. 61

1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ

1.1 การตลาด
มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปีการผลิต 2561/62

มติที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2561 เห็นชอบในหลักการมาตรการฯ ด้านการผลิตและการตลาด ทั้งหมด 10 โครงการ ดังนี้

(1) ด้านการผลิต* ได้แก่ 1) โครงการส่งเสริมระบบการเกษตรแบบนาแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) 2) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ 3) โครงการพัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่อง 4) โครงการส่งเสริมระบบการเกษตรแบบแม่นยำสูง (Precision Farming) 5) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพชั้นเลิศ 6) โครงการส่งเสริมการผลิตและการตลาดข้าวพันธุ์ กข 43 เพื่อสุขภาพแบบครบวงจร และ 7) โครงการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตข้าวในพื้นที่ลุ่มต่ำ 13 ทุ่ง

(2) ด้านการตลาด มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2561 อนุมัติการดำเนินโครงการและวงเงินงบประมาณที่ใช้ช่วยเหลือเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต 2561/62 ด้านการตลาด จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ 1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีและการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว

2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร และ 3) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก

หมายเหตุ * ด้านการผลิต เป็นโครงการที่หน่วยงานดำเนินการตามปกติ จึงไม่นำเข้าที่ประชุม ครม.พิจารณามาตรการฯ

1.2 ราคา

1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ

ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 15,952 บาท ราคาลดลงจากตันละ 15,998 บาทในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.29

ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 7,440 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 7,422 บาทในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.25

2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ

ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 35,583 บาท ราคาลดลงจากตันละ 35,650 บาทในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.19

ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 11,750 บาท ราคาเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา

3) ราคาส่งออกเอฟโอบี

ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 1,122 ดอลลาร์สหรัฐฯ (36,995 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 1,115 ดอลลาร์สหรัฐฯ (36,924 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.63 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 71 บาท

ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 399 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,156 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 396 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,114 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.76 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 42 บาท

ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 390 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,859 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 387 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12,816 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.77 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 43 บาท

ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 396 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,057 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 393 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,015 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.76 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 42 บาท

หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 33.9722

2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ

อินเดีย

ภาวะราคาข้าวในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากเริ่มมีความต้องการข้าวจากต่างประเทศ หลังจากช่วงก่อนหน้านี้ราคาได้ปรับลดลงต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน 2560 ซึ่งการที่ราคาปรับลดลงทำให้ในช่วงนี้ผู้ซื้อจากแอฟริกาเริ่มหันมาสั่งซื้อข้าวมากขึ้น ทั้งนี้ราคาข้าวนึ่ง 5% อยู่ที่ตันละ 389-393 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 3 ดอลลาร์สหรัฐฯ จากตันละ 386-390 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงสัปดาห์ก่อนหน้า

มีรายงานว่า หลังจากหน่วยงานของทางการจีนได้ส่งคณะเดินทางเข้ามาตรวจโรงสีข้าวที่แปรรูปข้าวขาวที่ไม่ใช่บาสมาติ เมื่อช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมานั้น ปรากฏว่าทางการจีนได้ตกลงให้โรงสีข้าวจำนวน 14 แห่ง จาก 19 แห่งที่ผ่านการตรวจสอบสามารถส่งออกข้าวไปประเทศจีนได้ และล่าสุดได้อนุญาตเพิ่มอีก 5 รายที่ผ่านการตรวจ นอกจากนี้ยังมีโรงสีอีก 4 ราย ที่ไม่ผ่านการตรวจต้องไปปรับปรุงระบบการเก็บสินค้า และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้เรียบร้อยก่อน

เมื่อช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ของจีนได้เดินทางไปตรวจโรงสีข้าวที่แปรรูปข้าวขาวที่ไม่ใช่บาสมาติของอินเดียแล้ว หลังจากรัฐบาลของทั้งสองประเทศได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (memorandum of understanding; MoU) เกี่ยวกับการส่งออกข้าวขาวที่ไม่ใช่บาสมาติจากอินเดียไปจีน เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาซึ่งสาระสำคัญของ MoU คือภายใต้พิธีสารปี 2549 เรื่องข้อกำหนดด้านสุขอนามัยพืชเพื่อการส่งออกข้าวจากอินเดียไปยังประเทศจีนได้รับการแก้ไขเพื่อให้ครอบคลุมถึงการส่งออกข้าวขาวที่ไม่ใช่ข้าวบาสมาติด้วย

กระทรวงเกษตร (the Indian Agriculture Ministry) รายงานว่า การเพาะปลูกข้าวในฤดูการผลิต Kharif (มิถุนายน-ธันวาคม) ของปีการผลิต 2561/62 ณ วันที่ 26 กรกฎาคม 2561 มีการเพาะปลูกแล้วประมาณ 123.52 ล้านไร่ลดลงร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับจำนวน 141 ล้านไร่ ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่สถานการณ์ฝนที่ตกลงมาหลังจากเริ่มเข้าสู่ฤดูมรสุมนั้น กรมอุตุนิยมวิทยา (the Indian Meteorological Department; IMD) รายงานว่า วันที่ 30 กรกฎาคม 2561 ที่ผ่านมา อินเดียมีปริมาณฝนตกต่ำกว่าระดับปกติประมาณร้อยละ 6 โดยฝนที่ตกบริเวณภาคกลางและคาบสมุทรทางภาคใต้ของประเทศมีปริมาณสูงกว่าค่าปกติประมาณร้อยละ 6 และร้อยละ 2 ตามลำดับ ส่วนในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนตกในระดับต่ำกว่าค่าปกติประมาณร้อยละ 1 และร้อยละ 28 ตามลำดับ ทั้งนี้ฤดูมรสุมของอินเดียจะอยู่ในช่วงระหว่างวันที่ 1 มิถุนายนถึง 30 กันยายน ซึ่งฝนที่ตกในช่วงเวลานี้จำเป็นต่อการเพาะปลูกพืชของอินเดียในฤดูการผลิต Kharif อย่างไรก็ตาม ในส่วนของปริมาณน้ำที่กักเก็บไว้ในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั่วประเทศ 91 แห่ง ณ วันที่ 26 กรกฎาคม 2561 มีปริมาณ 66.34 พันล้านลูกบาศก์เมตร มากกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่มีประมาณ 58.86 พันล้านลูกบาศก์เมตร

ทางด้านกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) คาดการณ์ว่าในปีการตลาด 2561/62 (ตุลาคม-กันยายน) อินเดียจะมีผลผลิตข้าวสารประมาณ 109 ล้านตัน ลดลงจากจำนวน 110 ล้านตัน ในปี 2560/61 เนื่องจากคาดว่า การเพาะปลูกฤดูหลัก (kharif rice) ในปี 2561/62 จะมีผลผลิตลดลง เนื่องจากขณะนี้การเพาะปลูกข้าวในฤดูนี้ล่าช้ากว่ากำหนดเพราะได้รับปริมาณฝนต่ำกว่าเกณฑ์ ซึ่งคาดว่าในช่วงปลายเดือนนี้ภาวะฝนจะกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติ และคาดว่าการเพาะปลูกข้าวบาสมาติเมล็ดยาวในแคว้น Punjab, Haryana และ western Uttar Pradesh รวมทั้ง Andhra Pradesh และ Tamil Nadu จะดำเนินต่อไปจนถึงปลายเดือนสิงหาคมและต้นเดือนกันยายนนี้

มีรายงานว่า จากการที่รัฐบาลได้เพิ่มราคารับซื้อขั้นต่ำ (MSP) ในการซื้อข้าวเปลือกฤดูกาลใหม่ขึ้น 13% เพื่อเอาใจเกษตรกรก่อนมีการเลือกตั้งทั่วไปในปีหน้า ซึ่งรัฐบาลภายใต้นายกรัฐมนตรี Narendra Modi ได้กล่าวในการประกาศงบประมาณของรัฐบาลในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ที่ผ่านมาว่า จะรับซื้อผลผลิตการเกษตรในราคา 1.5 เท่าของค่าใช้จ่ายในการผลิต ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงราคารับซื้อขั้นต่ำครั้งใหญ่ในรอบ 3 ปี

ทางด้านนักวิเคราะห์และนักเศรษฐศาสตร์ เตือนว่าการตัดสินใจนี้อาจทำให้เงินเฟ้อและการขาดดุลสูงขึ้น ทั้งยังกระตุ้นให้ธนาคารทุนสำรองอินเดียเพิ่มอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นอีกด้วย โดยนาย Indranil Pan นักเศรษฐศาสตร์จาก ICRA Ltd มุมไบ แสดงความคิดเห็นว่า ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลของราคารับซื้อขั้นต่ำต่ออัตราเงินเฟ้อ ควรรอจนถึงเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายน 2561 ก่อน ซึ่งการประกาศเพิ่มราคารับซื้อขั้นต่ำไม่น่าจะมีผลต่อการทำหน้าที่ของธนาคารกลางของอินเดีย (RBI) และแนะนำว่าธนาคารกลางของอินเดียควรขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนสิงหาคมและตุลาคม 2561 เพื่อรองรับอัตราเงินเฟ้อและราคาน้ำมันสูง

นาย Foram Parekh นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานจาก Indiabulls Ventures ที่เมืองมุมไบ แสดงความคิดเห็นว่าการเพิ่มราคานี้เป็นไปตามความคาดหวัง หากตลาดเพิ่มราคามากกว่าราคา MSP ก็อาจจะนำไปสู่เงินเฟ้อได้หากเกษตรกรได้รับผลประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของ MSP ภาคอุตสาหกรรมรถยนต์และสถาบันการเงินชั้นนำของอินเดียก็จะได้รับผลประโยชน์จากรายได้ของภาคชนบทที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน ทั้งนี้รัฐบาลได้ทบทวนราคา MSP ในระยะหลายปีที่ผ่านมา แต่คิดว่าราคายังไม่ได้ถูกนำไปปรับใช้กับเกษตรกรอย่างจริงจัง จึงต้องรอดูกันต่อไป และคาดว่าน่าจะรู้กันว่าเกษตรกรจะได้รับการปรับใช้ราคาใหม่หรือไม่ในเดือนตุลาคม 2561 นี้ พร้อมยังกล่าวเสริมว่าเนื่องจากราคา MSP ที่สูงขึ้น รัฐบาลต้องรับภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นประมาณ 330 พันล้านรูปี (ประมาณ 4.81 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งคิดเป็นประมาณ 0.2-0.3% ของ GDP เป็นจำนวนที่น้อยมากและไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม แต่จะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นมากกว่า

นาย Aditi Nayar หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก ICRA Ltd มุมไบ กล่าวว่าหากยังไม่มีความแน่ชัดว่า รัฐบาลจะรับซื้อผลผลิตมากกว่านี้หรือเกษตรกรจะได้รับราคา MSP ใหม่หรือไม่ ก็เป็นเรื่องยากที่จะประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากราคาใหม่นี้ได้ ส่วนนาง Upasna Bhardwaj นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก Kotak Mahindra Bank มุมไบ กล่าวว่าราคาขายส่งในปัจจุบันส่วนใหญ่สูงกว่าราคารับซื้อขั้นต่ำ ณ จุดนี้เป็นเรื่องยากที่จะวัดผลกระทบต่อเงินเฟ้อ การปรับราคารับซื้อขั้นต่ำนี้เป็นเรื่องจำเป็น แต่ต้องทำให้ถูกต้องเพื่อให้มั่นใจว่าเกษตรกรจะได้รับสิ่งที่พวกเขาควรได้

นาย Tirthankar Patnaik ผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์อินเดียจาก Mizuho Bank มุมไบ แสดงความ คิดเห็นว่า ราคาข้าวเปลือก 200 รูปีต่อ 100 กิโลกรัม มีความสมเหตุสมผลจึงไม่น่าจะส่งผลเสียต่อตลาด หากราคาสูงกว่า 200 รูปี อาจจะส่งผลกระทบ ซึ่งราคารับซื้อขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้นนั้นจะทำให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานสูงขึ้น 25 basis point ซึ่งรัฐบาลน่าจะพึงพอใจ และไม่คิดว่าราคานี้จะส่งผลเสียมากนัก ขณะที่นาง Shubhada Rao หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Yes Bank มุมไบ กล่าวว่าราคา MSP ใหม่สูงขึ้น 25% เมื่อเทียบกับเพียง 2-3% ในช่วงสามปีที่ผ่านมา น่าจะส่งผลกระทบจากทำให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานสูงขึ้น 35 basis point ซึ่งเป็นไปตามที่คาดหวัง และไม่น่าจะทำให้ธนาคารทุนสำรองอินเดียมีความกังวลมากนัก

ด้านนาย A Prasanna หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก ICICI Securities Primary Dealership Ltd มุมไบ แสดงความคิดเห็นว่าราคารับซื้อขั้นต่ำที่ประกาศใหม่นี้ ทำให้ราคาผลผลิตสูงขึ้นมาก คาดการณ์ว่าราคารับซื้อธัญพืช

ในปีงบประมาณ 2562 อาจจะสูงถึงเกือบ 25% เทียบเท่ากับการเพิ่มขึ้นในห้าปีที่ผ่านมารวมกัน หากคิดตามดัชนีราคาผู้บริโภคแล้ว การเพิ่มขึ้นนี้คิดเป็น 90 basis points ดังนั้น คาดว่าอัตราเงินเฟ้อน่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 50 basis points และยังคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินจะใส่ใจต่อความเสี่ยงที่เกิดจาก MSP ที่สูงขึ้น ค่าใช้จ่ายด้านการเงินและผลกระทบระลอกที่สอง ประกอบกับราคาน้ำมันสูง และค่าเงินรูปีอ่อนค่าตั้งแต่นโยบายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาการพัฒนาครั้งนี้จึงน่าจะทำให้มีการปรับราคาเพิ่มอีกครั้งในเดือนตุลาคม 2561

ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ