สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์: ข้าว

ข่าวเศรษฐกิจ Monday June 14, 2021 14:39 —สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 7 - 13 มิถุนายน 2564

1.สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ

1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2563/64 ประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้

ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์และอุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 28.786 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก

ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว

2.1) การวางแผนการผลิตข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการวางแผนการผลิตข้าว ปี 2563/64 รวม 69.409 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก จำแนกเป็น รอบที่ 1 พื้นที่ 59.884 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 24.738 ล้านตันข้าวเปลือก และรอบที่ 2 พื้นที่ 9.525 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 6.127 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถปรับสมดุลการผลิตได้ในการวางแผนรอบที่ 2 หากราคามีความอ่อนไหว ความต้องการใช้ข้าวลดลง และสถานการณ์น้ำน้อย รวมทั้งการปรับลดพื้นที่การปลูกข้าวไปปลูกพืชอื่น โดยจะมีการทบทวนโครงการลดรอบการปลูกข้าวก่อนฤดูกาลเพาะปลูกข้าวรอบที่ 2

2.2) การจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 จำนวน 59.884 ล้านไร่ แยกเป็น 1) ข้าวหอมมะลิ 27.500 ล้านไร่ ผลผลิต 9.161 ล้านตันข้าวเปลือก 2) ข้าวหอมไทย 2.084 ล้านไร่ ผลผลิต 1.396 ล้านตันข้าวเปลือก 3) ข้าวเจ้า 13.488 ล้านไร่ ผลผลิต 8.192 ล้านตันข้าวเปลือก 4) ข้าวเหนียว 16.253 ล้านไร่ ผลผลิต 5.770 ล้านตันข้าวเปลือก และ 5) ข้าวตลาดเฉพาะ 0.559 ล้านไร่ ผลผลิต 0.219 ล้านตันข้าวเปลือก

2.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา

2.4) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่โครงการส่งเสริมระบบนาแบบแปลงใหญ่โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืช โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้สู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวกข43 และข้าวเจ้าพื้นนุ่ม (กข79) และโครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าว

2.5) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย

2.6) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการชาวนาปราดเปรื่อง

2.7) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ โครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวคุณภาพดีเพื่อการแข่งขัน และโครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นนุ่มพันธุ์ใหม่

2.8) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี

ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ โครงการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร

ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศ

4.1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร และโครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ

4.2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกรโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกและโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว

ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศ

5.1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ การเจรจาขยายตลาดข้าวและกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าในต่างประเทศ โครงการกระชับความสัมพันธ์ และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทยเพื่อขยายตลาดไทยในต่างประเทศ และโครงการ ลด/แก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าข้าวไทยและเสริมสร้างความเชื่อมั่น

5.2) ส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าวและนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและขยายตลาดข้าวไทยเชิงรุก โครงการผลักดันข้าวหอมมะลิไทยคุณภาพดีจากแหล่งผลิตสู่ตลาดโลก โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติ โครงการจัดประชุม Thailand Rice Convention 2021 และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์

5.3) ส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐาน และปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย

5.4) ประชาสัมพันธ์รณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยในตลาดข้าวต่างประเทศ

2) มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64

มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 และงบประมาณ ดังนี้

2.1) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 โดยกำหนดชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) ดังนี้ (1) ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาประกันตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน (2) ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ราคาประกันตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน (3) ข้าวเปลือกเจ้า ราคาประกันตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน (4) ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ราคาประกันตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และ (5) ข้าวเปลือกเหนียว ราคาประกันตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน

2.2) มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 ประกอบด้วย3 มาตรการ ได้แก่

(1)โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2563/64 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในเขตพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อชะลอข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร จำนวน 1.82 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 11,000 บาทข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 9,500 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 5,400 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 7,300 บาท และข้าวเปลือกเหนียวตันละ 8,600 บาทรวมทั้งเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท

(2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกรปีการผลิต 2563/64โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป วงเงินสินเชื่อเป้าหมาย 15,000 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 4 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3 ต่อปี

(3)โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2563/64 ผู้ประกอบการค้าข้าวรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อก เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถรับซื้อจากเกษตรกรได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 - 31 มีนาคม 2564 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2564) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร ระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน)นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3

3) โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64

ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ลดต้นทุนการผลิต ให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ (ครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท) ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ขอดำเนินการจ่ายเงินเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปีการผลิต 2563/64 รอบที่ 1 กับกรมส่งเสริมการเกษตร ในอัตราไร่ละ 500 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท ก่อนในเบื้องต้น

1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ

ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 10,946 บาท ราคาลดลงจากตันละ 11,170 บาทในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.01

ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 8,568 บาท ราคาเพิ่มขึ้นจากตันละ 8,645 บาทในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.89

2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ

ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 23,050 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน

ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 13,370 บาท ราคาลดลงจากตันละ 13,600 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.69

3) ราคาส่งออกเอฟโอบี

ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 782 ดอลลาร์สหรัฐฯ (24,163 บาท/ตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน (24,192 บาท/ตัน) แต่ลดลงในรูปเงินบาทตันละ 29 บาท

ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 483 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,925 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 490 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,159 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.43 และเพิ่มขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 234 บาท

ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 483 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,925 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 490 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,159 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.43 และเพิ่มขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 234 บาท

หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 30.8996 บาท

2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ

ไทย : เคาะลดพื้นที่ปลูกข้าวปี 64/65 เหลือ 66 ล้านไร่ หนุนปลูกแค่ 5 พันธุ์ตามตลาดเกษตรฯ ปักหมุดเตรียมเน้นผลิตข้าว 5 ประเภท ให้สอดคล้องกับตลาด ตั้งเป้าพื้นที่ผลิต 66 ล้านไร่ พร้อมถกการบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอต่อการเพาะปลูก จากปัญหาฝนทิ้งช่วงวันที่ 8 มิถุนายน 2564 นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยหลังการประชุมคณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติด้านการผลิตว่า ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาถึงเป้าหมายการผลิตข้าว การวางแผนการข้าว และพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/2565 โดยมีสาระสำคัญ คือ เห็นควรให้มีการแบ่งประเภทข้าวเพื่อให้การเพาะปลูกมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของตลาด ได้ผลผลิตในแต่ละชนิดข้าวที่มีความสอดคล้องทั้งในส่วนของ Demand และ Supply โดยจะแบ่งเป็น 5 ชนิดข้าวประกอบด้วย 1) ข้าวหอมมะลิ 2) ข้าวหอมไทย 3) ข้าวเจ้า ซึ่งจำแนกเป็นข้าวเจ้าพื้นนุ่มและข้าวเจ้าพื้นแข็ง4) ข้าวเหนียว 5) ข้าวตลาดเฉพาะ ทั้งนี้ พื้นที่ส่งเสริมการปลูกข้าวปีการผลิต 2564/2565 นั้น ได้กำหนดไว้ทั้งสิ้น 66 ล้านไร่ โดยปรับลดพื้นที่ปลูกลงจากปีการผลิต 2563/2564 ประมาณ 3 ล้านไร่

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาถึงเป้าหมายการผลิตข้าว การวางแผนการผลิตข้าว และพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/2565 โดยมีสาระสำคัญ คือ ปริมาณน้ำสำหรับการเพาะปลูกข้าวในปีการผลิต 2564/2565 (ฤดูนาปี) อยู่ในเกณฑ์น้อย ภาพรวมปริมาณน้ำที่ใช้การจากอ่างเก็บน้ำทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก ขณะนี้มีจำนวน 11,121 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่ในขณะเดียวกันกลับมีความต้องการใช้อยู่ที่ 32,339 ล้านลูกบาศก์เมตร ประกอบกับน้ำใน 4 เขื่อนหลัก มีปริมาณน้ำใช้การเหลือเพียง 1,457 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งในส่วนของกรมอุตุนิยมวิทยาประเมินว่ามีปริมาณฝนน้อย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำเพื่อการอุปโภค/บริโภค และจะเกิดภาวะฝนทิ้งช่วงตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายนไปจนถึงกลางเดือนกรกฎาคม

ดังนั้น หน่วยงานชลประทานในพื้นที่จะต้องมีแผนบริหารจัดการน้ำ โดยจัดส่งน้ำเป็นรอบเวรเพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำ และต้องมีแผนจัดสรรน้ำเพื่อประคองปริมาณน้ำที่มีอยู่จนถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2564 ดังนั้น นอกจากการจัดรอบเวรเพื่อจัดสรรน้ำให้แก่เกษตรกรแล้ว อีกส่วนหนึ่งจะต้องขอความร่วมมือเกษตรกรหากจะเพาะปลูกให้พิจารณาใช้น้ำฝนเป็นหลัก ซึ่งจากการคาดการณ์ตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคมเป็นต้นไป น่าจะสามารถเพาะปลูกได้โดยไม่มีผลเสียหาย

นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า จากกรณีที่เกิดภาวะฝนทิ้งช่วง ส่งผลให้พื้นที่ปลูกข้าวนาปี ได้รับผลกระทบขาดแคลนน้ำ ซึ่งรัฐบาล โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบหมายให้กรมชลประทาน เร่งเข้าไปช่วยเหลือเกษตรกรให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดนั้น กรมชลประทาน ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้เกี่ยวกับสถานการณ์น้ำให้ประชาชนในแต่ละพื้นที่รับทราบอย่างต่อเนื่อง พร้อมชี้แจงถึงกติกาการสูบน้ำตามรอบเวรให้กับเกษตรกรผู้ใช้น้ำในพื้นที่ต่างๆ เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำเป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด เนื่องจากปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่อย่างจำกัดซึ่งได้รับความร่วมมือจากเกษตรกรเป็นอย่างดี

สำหรับแนวทางการช่วยเหลือ กรมชลประทาน โดยสำนักเครื่องจักรกล ได้นำเครื่องสูบน้ำเข้าติดตั้งพร้อมเดินเครื่องสูบน้ำในหลายพื้นที่แล้ว อาทิ ที่จังหวัดพิษณุโลก ติดตั้งเครื่องสูบน้ำขับด้วยเครื่องดีเซลขนาด 12 นิ้ว บริเวณคลองบางแก้ว ตำบลท่านางงาม อำเภอบางระกำ และบริเวณคลองวัดขอน ตำบลศรีภิรมย์ อำเภอพรหมพิรามสูบน้ำจากคลองบางแก้ว และคลองวัดขอน ส่งไปยังคลองซอยต่างๆ วันละประมาณ 47,500 ลูกบาศก์เมตร ช่วยเหลือพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปีกว่า 2,000 ไร่ด้านจังหวัดชัยนาท ได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำขับด้วยระบบไฮดรอลิคขนาด 24 นิ้ว และขนาด 28 นิ้ว บริเวณคลอง 2 (ซ้าย) ตำบลชัยนาท อำเภอเมืองชัยนาท สูบน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา ส่งไปยังคลอง 2 (ซ้าย) วันละประมาณ 198,000 ลูกบาศก์เมตร ช่วยเหลือพื้นที่การเกษตรและเพาะปลูกข้าวนาปีกว่า 7,000 ไร่

นอกจากนี้ ยังได้จัดเตรียมเครื่องสูบน้ำ และเครื่องจักรกลอื่นๆ ที่พร้อมจะเข้าไปให้ความช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรที่ทำนาปีไปแล้ว รวมไปถึงประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการขาดแคลนน้ำ ถึงแม้ว่าในช่วงนี้จะมีฝนตกลงมาบ้างแล้วในหลายพื้นที่ แต่น้ำต้นทุนที่มีอยู่ในเขื่อนต่างๆ ยังไม่เพียงพอที่จะส่งน้ำให้กับพื้นที่การเกษตรได้อย่างเต็มศักยภาพ จึงจำเป็นต้องทำการจัดสรรน้ำตามรอบเวร เพื่อให้การใช้น้ำเป็นไปอย่างทั่วถึง ลดผลกระทบต่อผลผลิตที่อาจจะได้รับความเสียหายได้ สำหรับเกษตรกรที่ยังไม่ได้ทำการเพาะปลูก ขอให้ชะลอการเพาะปลูกออกไปก่อน จนกว่าจะมีฝนตกชุกในพื้นที่สม่ำเสมอและมีน้ำเพียงพอ

อนึ่ง กรมชลประทานจะมุ่งมั่นบริหารจัดการน้ำที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เพียงพอใช้ ควบคู่ไปกับการพัฒนาแหล่งน้ำ เพื่อรองรับความต้องการใช้น้ำที่มากขึ้นในอนาคต โดยการเก็บกักน้ำไว้ในแหล่งน้ำธรรมชาติ และใช้ประโยชน์จากน้ำท่าตามธรรมชาติให้มากที่สุด จึงขอให้เกษตรกรติดตามข้อมูลสถานการณ์น้ำได้จากเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ รวมถึงติดตามสภาพอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจในการเพาะปลูกพืชและลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้น

ที่มา : prachachat.net, สำนักข่าวอินโฟเควสท์

อินเดีย : อินเดียเดินหน้าส่งออกข้าว Non-Basmati หลังฟิลิปปินส์ลดภาษีนำเข้า

สมาคมผู้ส่งออกข้าวของอินเดีย (Rice Exporters Association) มั่นใจว่าปีนี้จะส่งออกข้าวได้มากขึ้นครองอันดับหนึ่งในตลาดโลก โดยข้อมูลจากหน่วยงานด้านการพัฒนาการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของอินเดีย (Agricultural and Processed Food Products Export Development Authority: APEDA) ระบุว่าในปี 2563 อินเดียส่งออกข้าวที่ไม่ใช่ข้าวบาสมาติได้ 13.09 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 160 ในขณะที่ส่งออกข้าวบาสมาติได้ในปริมาณ 4.45 ล้านตัน เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 4 โดยปัจจัยหนึ่งสำหรับการส่งออกในปีนี้คือการนำเข้าข้าวของฟิลิปปินส์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากการที่รัฐบาลฟิลิปปินส์ยกเลิกนโยบายการจำกัดการนำเข้าข้าวเชิงปริมาณและอนุญาตให้ผู้นำเข้าเอกชนสามารถนำเข้าข้าวได้อย่างเสรี รวมทั้งมีการลดภาษีนำเข้าข้าวด้วย

โดยเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา กระทรวงการคลังของฟิลิปปินส์ได้ประกาศลดอากรขาเข้าทั่วไป (MFN) จากร้อยละ 40 เหลือร้อยละ 35 สำหรับการนำเข้าข้าวตามโควตา และเก็บอากรขาเข้าร้อยละ 50 สำหรับการนำเข้า

นอกโควตา ภายในกรอบเวลาหนึ่งปีจากนี้ เนื่องจากฟิลิปปินส์คาดว่าจะต้องเผชิญกับพายุหลายลูกในช่วงฤดูฝน ทำให้ผลผลิตข้าวจะมีปริมาณน้อยลง จึงต้องรักษาระดับราคาข้าวในประเทศไม่ให้สูงเกิดไป ซึ่งโดยปกติแล้วฟิลิปปินส์จะนำเข้าข้าวปีละประมาณ 2.5 ล้านตัน โดย 2 ล้านตันเป็นข้าวที่มีคุณภาพสูง และอีกประมาณ 5 แสนตัน เป็นข้าวคุณภาพรองโดยแหล่งนำเข้าข้าวคุณภาพหลักคือ เวียดนามและไทย แต่ในปีนี้ฟิลิปปินส์ต้องการกระจายการนำเข้าที่นอกเหนือไปจากเพื่อนบ้านในอาเซียนด้วย

ทั้งนี้ ราคาข้าวขาว 5% ที่ส่งออกจากอินเดียมีราคาเพียง 388-392 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน ขณะที่ราคาข้าวจากเวียดนามยังทรงตัวอยู่ที่ 490-495 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน ส่วนราคาข้าวของไทยอยู่ที่ 457-487 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ และค่าระวางเรือที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยคาดว่าผลผลิตข้าวจากไทยและเวียดนามจะลดลง รวมถึงข้าวจากบังกลาเทศและเมียนมาด้วย ซึ่งอาจเกิดจากปริมาณฝนที่จะเพิ่มขึ้นในปีนี้ ในทางกลับกัน อินเดียคาดว่าจะมีผลผลิตข้าวส่วนเกินและส่งผลให้ราคาส่งออกข้าวลดลง สำหรับราคาข้าวนึ่ง 5% ของอินเดีย อยู่ที่ 402-408 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน ซึ่งถือว่าต่ำกว่ามากเมื่อเทียบกับราคาของเวียดนาม ซึ่งอยู่ที่ 510-515 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน ในขณะที่ข้าวนึ่งจากไทยมีราคาสูงถึง 540 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน

อย่างไรก็ตาม สมาคมผู้ส่งออกข้าวของอินเดีย ยังมีข้อกังวลว่าอินเดียจะไม่สามารถส่งออกข้าวได้เต็มศักยภาพจากการที่อินเดียขาดเรือขนส่งระหว่างประเทศสำหรับสินค้าแบบเทกอง ในขณะที่การขนส่งข้าวผ่านทางท่าเรือน้ำลึกกากีนาดา (Kakinada) ในรัฐอาธรประเทศทางฝั่งตะวันออกของอินเดียยังคงทำได้ช้า เนื่องจากภาวะคับคั่ง ทำให้เรือต้องจอดรอคิวนานกว่าปกติและมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น และหากผู้ส่งออกจะหันไปส่งออกโดยบรรจุข้าวในตู้คอนเทนเนอร์ก็จะทำให้มีต้นทุนและราคาสูงขึ้นอีก ข้อจำกัดนี้จึงอาจส่งผลต่อปริมาณการส่งออกและระดับราคาที่จะแข่งขันกับเวียดนามและไทยได้

ข้อมูลเพิ่มเติมและข้อคิดเห็น

1. รายงานกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) ระบุว่า ผลผลิตข้าวอินเดียปีนี้น่าจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จาก 117.9 ล้านตันข้าวสาร เป็น 118 ล้านตันข้าวสา เนื่องจากไม่ได้รับผลกระทบจากภูมิอากาศ ส่วนความต้องการบริโภคภายในประเทศมีปริมาณ 103 ล้านตันข้าวสาร อินเดียจึงจะมีผลผลิตส่วนเกินอยู่ประมาณ 15 ล้านตัน ส่วนปริมาณข้าวในสต็อกของอินเดียคาดว่าจะมีประมาณ 50 ล้านตันข้าวสาร ในขณะเดียวกัน รัฐบาลอินเดียอาจมีการสนับสนุนการเพาะปลูกข้าวผ่านมาตรการอุดหนุนค่าใช้จ่ายในการปลูกข้าวและเครื่องเกี่ยวนวดข้าว รวมถึงการจัดจำหน่ายข้าวด้วย โดยคาดว่ารัฐบาลอินเดียจะออกมาตรการส่งเสริมการส่งออกข้าวที่ไม่ใช่บาสมาติมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายส่วนแบ่งในตลาด โดยเฉพาะในฟิลิปปินส์ที่กำลังเป็นผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่ที่สุดในตลาดโลก รวมทั้งรักษาแรงจูงใจในการปลูกข้าวที่ไม่ใช่บาสมาติของเกษตรกร นอกจากนี้ อินเดียยังออกมาตรการที่น่าจับตสมองคือ การจัดจำหน่ายข้าวราคาถูกให้กับผู้บริโภคเพื่อบรรเทาภาวะเงินเฟ้อและค่าครองชีพในภาวะโรคระบาด ซึ่งข้าวที่ขายให้กับประชาชนในราคาถูกนั้น บางส่วนอาจมีโอกาสนำกลับมาหมุนเวียนขายให้กับผู้ส่งออกได้

2. ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ต้นทุนและราคาข้าวจากไทยสูงกว่าประเทศคู่แข่ง รวมถึงปัจจัยด้านเงินบาทที่แข็งค่าทำให้ปี 2563 ฟิลิปปินส์นำเข้าข้าวจากเวียดนามมากถึง 1.3 ล้านตัน และนำเข้าจากไทยเพียง 70,000 ตัน เช่นเดียวกับมาเลเซียที่หันไปนำเข้าข้าวจากเวียดนามและอินเดียมากขึ้นจากการที่มีราคาถูกว่า ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทยลดลง และแม้ว่าไทยจะมีการตัดลดราคาลงเพื่อรักษาลูกค้าที่มีอยู่เอาไว้ ก็อาจไม่คุ้มค่าเพราะอินเดียมีการพัฒนาคุณภาพข้าวขาวให้มีความนุ่มและหอมใกล้เคียงกับไทยมากขึ้นเป็นลำดับ และมีราคาต่ำกว่าไทยมากถึงประมาณ 90-120 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน

3. ในระยะยาว ไทยก็กำลังพัฒนาข้าวขาวพื้นนิ่มพันธุ์ กข79 และ กข87 ซึ่งคาดว่าจะสามารถออกสู่ตลาดโลกได้ภายในระยะเวลาไม่เกิน 2 ปี ซึ่งในระยะนี้ ไทยอาจต้องมุ่งเน้นตลาดในระดับบนที่ใส่ใจในสุขภาพ เพื่อส่งเสริมการส่งออกข้าวที่มีคุณค่าสูง อาทิ ข้าวหอมมะลิ ข้าวกล้อง และข้าวอินทรีย์ รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่ได้จากข้าวเหล่านี้ อาทิ น้ำนมข้าวเส้นก๋วยเตี๋ยว น้ำมันรำข้าว แป้งทำขนม และขนมปังกรอบ ซึ่งจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ผลิตไทยด้วย ในขณะที่ตลาดโลกมีความต้องการสินค้าเหล่านี้ อาทิ ญี่ปุ่น มาเลเซีย รวมถึงตลาดอินเดียเอง ทั้งนี้ สคต. ได้รับข้อมูลจากผู้ผลิตอาหารในอินเดียว่ามีความสนใจที่จะร่วมลงทุนกับผู้ผลิตในประเทศไทย เพื่อนำข้าวหอมมะลิมาแปรรูปเป็นข้าวเม่า หรือ Rice Flake เพื่อเป็นอาหารเช้าในแบบของอินเดีย (Poha) ซึ่งกระบวนการผลิตจำเป็นต้องเริ่มตั้งแต่ข้าวที่ยังมีเปลือก นอกจากนี้ในระยะยาวไทยอาจให้ความสำคัญกับตลาดในกลุ่ม Millennials (อายุประมาณ 25-40 ปี เพื่อให้รู้จักกับทางเลือกที่หลากหลายของข้าวชนิดต่างๆ โดยมีกิจกรรม อาทิ การประกวดเมนูอาหารจากข้าวไทย และกิจกรรมร่วมกับโรงเรียนสอนทำอาหาร เป็นต้น

ที่มา : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ