โอกาสการลงทุนในตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพมหานคร

ข่าวทั่วไป Wednesday May 2, 2007 15:50 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--2 พ.ค.--ซีบี ริชาร์ด เอลลิส
บริษัท ซีบี ริชาร์ด เอลลิส (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ได้แถลงข่าวเกี่ยวกับตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพมหานครว่า ปัจจุบัน การซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อการลงทุนนับเป็นทางเลือกในการลงทุนระยะยาวที่น่าสนใจอีกทางหนึ่งในภาวะที่เศรษฐกิจและการเมืองที่ยังไม่มีความแน่นอน และอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดต่ำลง รวมทั้ง ภาวะที่ซบเซาในตลาดหุ้นและอัตราผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลที่ลดลง
จากการสำรวจตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพมหานครครั้งล่าสุดโดยฝ่ายวิจัยของ ซีบี ริชาร์ด เอลลิส พบว่า ณ ไตรมาสแรกของปี 2550 มีคอนโดมิเนียมทั้งสิ้น 48,128 ยูนิต เพิ่มขึ้น 4,188 ยูนิต หรือคิดเป็น 9.53% จากไตรมาสแรกของปี 2549 ซึ่งคอนโดมิเนียมดังกล่าวตั้งอยู่ในทำเลดังต่อไปนี้ 21.4% ตั้งอยู่ในย่านสาทร (ถนนสีลม สาทร และสวนพลู) 4.4% ในย่านใจกลางลุมพินี (ถนนวิทยุ เพลินจิต หลังสวน และราชดำริ) 34.6% ในย่านสุขุมวิท (สุขุมวิท ซอย 1-63 และสุขุมวิท ซอย 2-44) 8.2% ในย่านปทุมวัน (ถนนพญาไท และพหลโยธิน) และอีก 29.6% ในย่านริมแม่น้ำ (ถนนพระราม 3 เจริญกรุง และเจริญนคร)
ในขณะที่ผลการสำรวจครั้งล่าสุดของฝ่ายวิจัยยังพบว่า ในปี 2548 มีโครงการคอนโดมิเนียมระดับบนและระดับหรูเปิดตัวทั้งสิ้น 1,788 ยูนิต ขณะที่ ณ สิ้นปี 2549 มีโครงการคอนโดมิเนียมระดับบนและระดับหรูเปิดตัวลดลงเหลือเพียง 1,097 ยูนิตเท่านั้น คิดเป็นลดลง 38.6% และใน ปี 2550 นี้คาดว่าจะมีโครงการใหม่เปิดตัวในปริมาณที่ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว ซีบี ริชาร์ด เอลลิสจึงเห็นว่า การลงทุนในตลาดดังกล่าวน่าจะเป็นทางเลือกที่ดี เพราะคอนโดมิเนียมระดับบนและระดับหรูจะมีปริมาณน้อยลงในอนาคต
นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ ซีบี ริชาร์ด เอลลิส ประเทศไทย กล่าวว่า “โครงการคอนโดมิเนียมระดับบนและระดับหรูในย่านใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าตลาดจะประสบกับภาวะซบเซาลงไปบ้าง อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมือง ทว่านักลงทุนที่ได้กำไรจากการขายต่อและได้รับผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมายังคงเข้าซื้อโครงการคอนโดมิเนียมในทำเลที่ดีอย่างต่อเนื่อง เพราะมีความเข้าใจและเชื่อมั่นในตลาด จากประสบการณ์ของนักลงทุนระยะยาวที่เข้ามาลงทุนในตลาดคอนโดมิเนียมของกรุงเทพ ฯ ที่ผ่านมาพอใจกับผลตอบแทนทั้งในด้านมูลค่าของห้องชุดที่เพิ่มขึ้น และผลตอบแทนในรูปของค่าเช่าซึ่งโดยเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 5-7% ซึ่งสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในปัจจุบันที่ลดลงถึงระดับ 3.5%”
นางสาวอลิวัสสาได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “แม้ว่ายอดขายคอนโดมิเนียมในตลาดโดยรวมจะมีอัตราการเติบโตที่ช้าลงตั้งแต่ช่วงปลายปี 2549 แต่เรากลับพบว่า การซื้อคอนโดมิเนียมระดับบนเพื่อการลงทุน ซึ่งเป็นห้องชุดที่สร้างเสร็จสมบูรณ์แล้วและตั้งอยู่ในย่านใจกลางเมือง อาทิ ย่านศาลาแดง สามารถขายต่อได้ในระดับราคาที่สูง รวมทั้งแม้จะมีความต้องการซื้อต่อจากนักลงทุนระยะยาวหลายราย แต่เจ้าของห้องชุดในหลายโครงการกลับไม่ต้องการขายต่อ เนื่องจากมองเห็นถึงศักยภาพของห้องชุดดังกล่าว โดยสถานการณ์ดังกล่าว มักจะเกิดขึ้นในโครงการคอนโดมิเนียมคุณภาพดี ที่ตั้งอยู่ในทำเลใจกลางเมือง เนื่องจากแปลงที่ดินชั้นดีหาได้ยากมากขึ้น โดยเฉพาะที่ตั้งอยู่ใกล้กับระบบขนส่งมวลชน จึงทำให้โอกาสในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมคุณภาพดีมีได้ยากขึ้นตามไปด้วย”
ตามปกติแล้ว นักลงทุนในตลาดระดับบนและระดับหรูไม่ได้ประสบกับปัญหาทางด้านเงินทุน ทว่านักลงทุนบางกลุ่มขาดความเชื่อมั่น อันเนื่องจากปัจจัยลบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นในด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม หากภาครัฐจัดให้มีมาตรการเพื่อส่งเสริมตลาดและสร้างความเชื่อมั่น หรือมีปัจจัยบวกอื่น ๆ ก็จะทำให้นักลงทุนดังกล่าวกลับเข้าสู่ตลาดอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะเห็นได้จากสถิติด้านยอดขายและการโอนกรรมสิทธิ์ มาตราการที่ซีบี ริชาร์ด เอลลิสเห็นว่าจะมีผลตต่อการกระตุ้นตลาด ได้แก่ การลดภาษีธุรกิจเฉพาะ ค่าธรรมเนียมการโอน และการขยายอัตราส่วนการถือครองกรรมสิทธิ์ในคอนโดมิเนียมโดยชาวต่างชาติจาก 49% เป็น 70% ทั้งนี้ การกระตุ้นตลาดจำเป็นต้องทำในทั้งตลาดระดับบน ระดับกลาง และระดับล่าง เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนของเงินทุน
สำหรับนักลงทุนและผู้ซื้อชาวไทยรุ่นใหม่นิยมเข้าซื้อในตลาดคอนโดมิเนียมระดับกลางและล่าง ดังจะเห็นได้จากการที่หลายโครงการประสบกับความสำเร็จในด้านยอดขายในปีที่ผ่านมา อาทิ โครงการวิลล่า ราชเทวี ของกลุ่มทีซีซี แคปปิตอลแลนด์ และโครงการไลฟ์ รัชดา-ลาดพร้าว ของเอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ แต่อย่างไรก็ตาม นางสาวอลิวัสสาได้ตั้งข้อสังเกตว่ามีการเปิดโครงการใหม่ในตลาดดังกล่าวจำนวนมาก ซึ่งเมื่อถึงจุดหนึ่งอาจก่อให้เกิดภาวะล้นตลาด (Oversupply) ได้ โดยในปี 2548 มีโครงการคอนโดมิเนียมระดับระดับกลางและล่างในย่านใจกลางเมืองเปิดตัวใหม่ 2,688 ยูนิต ในขณะที่ในปี 2549 มีโครงการคอนโดมิเนียมระดับกลางและล่างเปิดตัวใหม่ในย่านใจกลางเมืองสูงถึง 7,630 ยูนิต หรือคิดเป็น 184% และในไตรมาสที่ 1 ปี 2550 นี้มีโครงการใหม่เปิดตัวแล้ว 1,367 ยูนิต
ซีบี ริชาร์ด เอลลิสยังสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในด้านรูปแบบการใช้ชีวิตของคนไทยรุ่นใหม่ว่า มีแนวโน้มเปลี่ยนจากการพักอาศัยในบ้านเดี่ยวมาเป็นคอนโดมิเนียมเพิ่มมากขึ้น ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวเห็นได้อย่างชัดเจนในกลุ่มพนักงานบริษัทเอกชนที่ทำงานในย่านใจกลางเมือง
“ในด้านราคาคอนโดมิเนียมก็ได้ปรับตัวสูงขึ้นมาโดยตลอด ซึ่งเนื่องมาจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่ ความต้องการที่มีอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับต้นทุนด้านการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น และต้นทุนด้านราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะที่ดินในย่านใจกลางธุรกิจหรือ ซีบีดี เนื่องจากทำเลที่มีความเหมาะสมหาได้ยากมากขึ้น โดยในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา ราคาคอนโดมิเนียมได้ปรับตัวสูงขึ้นในระดับ 30 - 50% ซึ่งเห็นได้จากตัวอย่างราคาเฉลี่ยคอนโดมิเนียมระดับบนในย่านสาทรในปี 2545 อยู่ที่ 58,100 บาทต่อตารางเมตร ในขณะที่ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 80,000 บาทต่อตารางเมตร ย่านลุมพินีในปี 2545 อยู่ที่ 77,500 บาทต่อตารางเมตร ในขณะที่ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 108,000 บาทต่อตารางเมตร และย่านสุขุมวิทในปี 2545 อยู่ที่ 49,000 บาทต่อตารางเมตร ในขณะที่ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 88,000 บาทต่อตารางเมตร”
หากเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเดียวกันแล้ว จะพบว่า ราคาคอนโดมิเนียมระดับบนในกรุงเทพฯ มีราคาต่ำกว่ามาก ตัวอย่างเช่น ราคาเฉลี่ยคอนโดมิเนียมระดับบนในฮ่องกงอยู่ที่ 860,000 — 960,000 บาทต่อตารางเมตร ในสิงคโปร์อยู่ที่ระดับ 480,000 บาทต่อตารางเมตร ในเซี่ยงไฮ้อยู่ที่ระดับ 120,000 — 140,000 บาทต่อตารางเมตร และแม้ในประเทศที่ตลาดคอนโดมิเนียมเพิ่งเริ่มได้รับความสนใจอย่างโฮจิมินท์ ซิตี้ ประเทศเวียดนามพบว่า มีราคาเฉลี่ยใกล้เคียงกับกรุงเทพ ฯ อยู่ที่ระดับ 100,000 — 130,000 บาทต่อตารางเมตร นอกจากนี้ ระดับอัตราผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าจะอยู่ที่ 4% สำหรับตลาดในฮ่องกง 3% สำหรับตลาดในสิงคโปร์ และ 4-5% สำหรับตลาดในเซี่ยงไฮ้
ปัจจุบัน ชาวต่างชาติสามารถซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทยได้หากสัดส่วนการถือครองไม่เกิน 49% ของอัตราส่วนกรรมสิทธิ์ในโครงการนั้น ๆ ซีบี ริชาร์ด เอลลิสเห็นว่า หากรัฐบาลส่งเสริมให้มีการปรับเพิ่มเพดานการถือครองคอนโดมิเนียมโดยชาวต่างชาติให้เพิ่มสูงขึ้นจาก 49% เป็น 70% ก็จะเป็นการช่วยให้มีปริมาณความต้องการเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะขยายไปสู่ตลาดที่พักตากอากาศแห่งอื่นในประเทศไทยได้อีกด้วย
ซีบี ริชาร์ด เอลลิสยังได้ทำการสำรวจลักษณะของนักลงทุนระยะยาวในตลาดคอนโดมิเนียมจากห้องชุดตัวอย่างจำนวน 3,855 ยูนิต และพบว่า ชาวต่างชาติ 5 อันดับแรกที่เข้ามาลงทุนในตลาดคอนโดมิเนียมของกรุงเทพฯ ได้แก่ ชาวอังกฤษ ชาวอเมริกัน ชาวสิงคโปร์ ชาวออสเตรเลีย และชาวเกาหลี
จากการการสำรวจตลาดให้เช่าที่พักอาศัยโดยฝ่ายวิจัย พบว่า ปริมาณอพาร์ตเมนต์ให้เช่าเพิ่มขึ้นเพียง 1-2% เท่านั้นต่อปี ขณะที่ปริมาณชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยเพิ่มขึ้นในอัตรา 10 — 13% ต่อปี ดังนั้น นี่จึงเป็นโอกาสอย่างมากที่คอนโดมิเนียมจะเข้ามารองรับความต้องการที่ยังคงมีอยู่มากในตลาดให้เช่าที่พักอาศัย
“เราคาดการณ์ว่า แนวโน้มปริมาณคอนโดมิเนียมระดับบนและระดับหรูจะมีจำนวนจำกัด ในขณะที่ปริมาณความต้องการจากผู้ซื้อทั้งในประเทศและต่างประเทศจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้านราคาก็จะยังคงเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโครงการที่พัฒนาได้ตรงตามมาตรฐานตลาดระดับบนและระดับหรู หรือตลาดเพื่อการลงทุน นอกจากนี้ การได้รับผลตอบแทนจากการการปล่อยเช่าในระดับที่สูง โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมระดับบนและระดับหรูที่ได้ผลตอบแทนในระดับ 5-7% รวมทั้งมูลค่าเพิ่มของทรัพย์สิน (Capital Gain) ที่ผ่านมาอยู่ในระดับที่น่าพอใจ จึงทำให้การเป็นเจ้าของคอนโดมิเนียมที่ตั้งอยู่ในย่านใจกลางเมืองจะได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ และเป็นทางเลือกในการลงทุนที่น่าสนใจอีกทางหนึ่งสำหรับนักลงทุนระยะยาวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติในภาวะเศรษฐกิจเช่นในปัจจุบัน” นางสาวอลิวัสสากล่าวสรุป
เกี่ยวกับ ซีบี ริชาร์ด เอลลิส
ซีบี ริชาร์ด เอลลิส (NYSE:CBG) เป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ให้บริการแบบครบวงจร มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในนครลอสแองเจลลิส พร้อมด้วยบุคลากร 24,000 คนในสำนักงานมากกว่า 300 สาขาที่ให้บริการแก่เจ้าของโครงการ นักลงทุน และผู้ซื้อรายย่อยทั่วโลก
ซีบี ริชาร์ด เอลลิส เริ่มเปิดสาขากรุงเทพ ฯ ครั้งแรกในปีพ.ศ.2531 และสาขาภูเก็ตในปีพ.ศ. 2547 โดยให้บริการด้านการเป็นตัวแทนในการซื้อ ขาย และให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ประเภทบ้าน คอนโดมิเนียม อพาร์ตเมนท์ เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ อาคารสำนักงาน ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจอุตสาหกรรม โรงแรม ที่ดิน และให้บริการด้านการให้คำปรึกษา ซึ่งรวมถึง การให้บริการให้คำปรึกษาด้านการลงทุน การวิจัยตลาด และการประเมินราคาทรัพย์สิน นอกจากนี้ ยังให้บริการในด้านการ
บริหารอสังหาริมทรัพย์ด้วยมาตรฐานในระดับสากล หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการให้บริการ สามารถเข้าชมได้ที่ www.cbre.co.th
ติดต่อข้อมูลเพิ่มเติ่ม:
นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร
กรรมการผู้จัดการ
02 654 1111
นางสาวงามใจ เจียรจรัส
ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กร
02 654 1111 ต่อ 522
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ