CCP รายงานผลประกอบการปี 2549 รายได้รวมเพิ่มขึ้น 511.98 ล้านบาท สาเหตุจากยอดขายคอนกรีตที่เติบโตขึ้น และรับรู้รายได้บริษัทย่อยฯ 2 แห่ง เต็มปี

ข่าวทั่วไป Wednesday March 7, 2007 13:35 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--7 มี.ค.--เจดี พาร์ทเนอร์
ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรีเผยรายได้รวมปี 2549 เพิ่มขึ้น 22.24% อยู่ที่ 2,814.21 ล้านบาท ขณะที่มีอัตรากำไรขั้นต้น 11.78% แต่ผลประกอบการยังขาดทุนจากค่าใช้จ่ายพิเศษและดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม มั่นใจผลประกอบการปี 2550 จะปรับตัวดีขึ้น จากการเติบโตของธุรกิจคอนกรีต รับการลงทุนโครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า การฟื้นตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ การขยายตัวขยายตัวของธุรกิจในภาคตะวันออก และผลประกอบการที่ดีขึ้นของบริษัทฯ ย่อย
นายประทีป ทีปกรสุขเกษม ประธานกรรมการ บริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ “CCP” เปิดเผยผล-ประกอบการประจำปี 2549 ว่า มีรายได้รวม 2,814.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2548 จำนวน 511.98 ล้านบาท หรือ 22.24% เนื่องจากการเติบโตของธุรกิจคอนกรีตตามมูลค่างานก่อสร้างภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งบริษัทฯ สามารถประมูลรับงานได้อย่างต่อ เนื่อง ประกอบกับการยอดขายที่เพิ่มขึ้นของบริษัทย่อยฯ 2 แห่ง ซึ่งดำเนินธุรกิจร้านค้าปลีกโมเดิร์นเทรดวัสดุก่อสร้าง ตกแต่ง และซ่อมแซมบ้าน ภายใต้ชื่อ “กันยงโฮมสโตร์” ที่พบว่า ยอดขายเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการท่องเที่ยวในจังหวัดชลบุรีและเมืองพัทยา หลังการเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนกันยายน 2549 ที่ผ่านมา เช่นเดียวกับธุรกิจผลิตอิฐมวลเบา ภายใต้ชื่อ “สมาร์ทบล็อก” ซึ่งเริ่มมีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง หลังจากเปิดดำเนินงานเต็มปี ด้านต้นทุนขายสำหรับปี 2549 อยู่ที่ 2,482.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.24% ตามรายได้ที่สูงขึ้น จาก 2,014.50 ล้านบาท ในปี 2548 สาเหตุหลักมาจากต้นทุนวัตถุดิบ ได้แก่ น้ำมัน เหล็ก ที่ปรับตัวเพิ่มอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 11.78% ใกล้เคียงกับปี 2548 ซึ่งอยู่ 12.50% เป็นผลมาจากการที่บริษัทฯ นำระบบบัญชี SAP (System Application Products) มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิ-ภาพการบริหารจัดการภายใน โดยระบบดังกล่าวทำงานได้สมบูรณ์ในไตรมาส 3 ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายบาง ส่วนได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในไตรมาส 2/2549 นี้ บริษัทฯ มีการตั้งค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 3 รายการ รวมมูลค่าสูงกว่า 152.00 ล้านบาท ประกอบกับมีดอกเบี้ยจ่ายในปี 2549 เพิ่มขึ้น 96.70% มาอยู่ที่140.73 ล้านบาท จาก 71.55 ล้านบาท ในปี 2548 เนื่อง จากอัตราดอกเบี้ยในตลาดที่เพิ่มสูงขึ้น อีกทั้ง บริษัทย่อยฯ ยังมีผลการดำเนินงานที่ขาดทุน ส่งผลให้ผลประกอบการปี 2549 บริษัทมีผลขาดทุน 198.00 ล้านบาท หรือ 0.63 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้นจากปี 2548 ซึ่งมีผลขาดทุน 10.34 ล้านบาท หรือ 0.03 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้ จากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจคอนกรีต อันเป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯ ซึ่งในปี 2549 มีรายได้รวม 1,851.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 244.77 ล้านบาท หรือคิดเป็น 15.23% และมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 10.56% จาก 10.21% ในปี 2548 ขณะที่ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2550 พบว่าบริษัทฯ ยังสามารถประมูลรับงานได้อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีมูลค่างานในมือจากสินค้าคอนกรีตผสมเสร็จ สินค้าคอนกรีตสำเร็จรูปโครงสร้างงานระบบ และสินค้าคอนกรีตสำเร็จรูปตกแต่งบ้าน รวมประมาณ 1320.45 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ถึงเดือนธันวาคม ปี 2550 ประกอบกับสภาวะเศรษฐกิจในปีนี้ที่มีแนวโน้มดีขึ้นในหลายด้าน ทั้งราคาน้ำมันและอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มคงที่และมีทิศทางลดลงในอนาคต ที่ส่งผลต่อกำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์ของผู้บริโภค และความมั่นใจในการขยายการลงทุนของภาคธุรกิจเอกชน อีกทั้ง ความคืบหน้าของโครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า อันเป็นปัจจัยบวกกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง จากปัจจัยทั้งหมดนี้ บริษัทฯ จึงคาดการณ์ว่า ผลประกอบการของธุรกิจคอนกรีตในปีนี้น่าจะเติบโตดีขึ้น ตามความต้องการใช้คอนกรีตภายในประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
“สำหรับแนวโน้มการดำเนินงานของบริษัทย่อย ในส่วนธุรกิจอิฐมวลเบา คาดว่าการแข่งขันด้านราคาในปีนี้จะลดความรุนแรงลง เนื่องจากในปี 2549 ที่ผ่านมา ผู้ประกอบการทุกรายในตลาดล้วนแต่ประสบปัญหาขาดทุน จากการที่ราคาขายไม่สะท้อนต้นทุนการผลิตที่แท้จริง ปีนี้จึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการปรับราคาขายเพิ่มขึ้น โดยผู้ประกอบการจะหันไปแข่งขัน ด้วยการพัฒนารูปแบบสินค้าให้มีความหลากหลาย เพิ่มประสิทธิภาพงานบริการ เพื่อขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ และสร้างสรรค์อิฐมวลเบาที่มีคุณสมบัติเฉพาะ เพื่อเพิ่มยอดขายและราคาขายสินค้า สำหรับธุรกิจร้านค้าปลีกโมเดิร์นเทรดวัสดุก่อสร้าง ตกแต่ง และซ่อมแซมบ้าน พบว่า ยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในพัทยาและชลบุรี ประกอบกับบริษัทฯ ได้มีการจัดโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นยอดขายตลอดทั้งปี จึงมั่นใจว่า ผลประกอบการของบริษัทย่อยทั้ง 2 แห่ง ที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในปีนี้ ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่คาดว่าจะมีการปรับตัวลงในครึ่งปีหลัง ซึ่งจะทำให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทฯ ลดลงตามไปด้วยนั้น จะเป็นส่วนที่จะช่วยสนับสนุนให้ผลประกอบการของ CCP ปรับตัวดีขึ้นกว่าปี 2549 ที่ผ่านมา” นายประทีปกล่าว
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
บริษัท เจดี พาร์ทเนอร์ จำกัด
โทร (02) 661-8803-5 โทรสาร (02) 661-8813
E-mail : sirirat@jaydeepartners.com
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ