กรุงเทพฯ--3 ธ.ค.--จิ๊กซอ คอมมิวนิเคชั่นส์
โมเดิลรถยนต์จาก 6 ค่ายผู้ผลิตได้รับรางวัล APEAL
เจ.ดี.พาวเวอร์ เอเชีย แปซิฟิค เปิดเผยผลการศึกษาวิจัยสมรรถนะ ระบบปฎิบัติการ และการออกแบบรูปลักษณ์ของรถยนต์ (Automotive Performance, Execution and Layout - APEAL) ประจำปี 2553 ในวันนี้ พบว่า รูปลักษณ์ความสวยโดยรวมของรถยนต์เพิ่มขึ้นจากปี 2553 สวนทางกับความถดถอยในระหว่างปี 2551 และ 2552
ปีนี้นับเป็นปีที่ 8 ของการศึกษาสมรรถนะ ระบบการทำงาน และรูปลักษณ์ หรือ APEAL ซึ่งใช้คำตอบของผู้บริโภคในประเทศไทยเป็นเกณฑ์วัดถึงปัจจัยที่สร้างความพอใจ ที่เจ้าของรถมีต่อสมรรถนะและการออกแบบรถยนต์คันใหม่ของพวกเขา ในช่วง 2-6 เดือนแรกของการเป็นเจ้าของ โดยการศึกษาได้พิจารณาคุณลักษณะของรถยนต์เกือบ 100 คุณลักษณะ ซึ่งครอบคลุมระบบการทำงานของรถยนต์ 10 หมวด ได้แก่ ภายนอกตัวรถ, ภายในตัวรถ, พื้นที่เก็บของและพื้นที่ว่าง, เครื่องเสียง/ความบันเทิง/และระบบนำทาง, ระบบที่นั่ง, ระบบฮีทเตอร์/ระบบระบายอากาศ/และระบบแอร์ (HVAC), สมรรถนะในการขับขี่, เครื่องยนต์/ระบบเกียร์, ทัศนวิสัยและความปลอดภัยในการขับขี่, และสุดท้าย ได้แก่ความประหยัดน้ำมัน
สำหรับคะแนนเฉลี่ยของภาพรวมจากการศึกษา APEAL ในปี 2553 อยู่ที่ 886 คะแนน เพิ่มขึ้น 15 คะแนน จากปี 2552 และความพึงพอใจของปี 2553 ได้เพิ่มขึ้นในทั้ง 10 หมวด หมวดที่มีการพัฒนาอย่างเด่นชัดที่สุด ได้แก่หมวดของระบบฮีทเตอร์/ระบบระบายอากาศ/และระบบแอร์ (HVAC)
จากการศึกษา ยังพบอีกว่าความสำคัญของแต่ละหมวด มีการยกระดับเพิ่มขึ้นอย่างเด่นชัดในปี 2553 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความสำคัญของทัศนวิสัยและความปลอดภัยในการขับขี่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก เมื่อเทียบกับปี 2552 บรรดาเจ้าของรถยนต์โดยสารส่วนบุคคล รถกระบะ และรถยนต์อเนกประสงค์ เห็นว่าทัศนวิสัยและความปลอดภัยในการขับขี่ เป็นสิ่งสำคัญที่มีผลต่อการสร้างความพึงพอใจได้มากที่สุด และให้น้ำหนักความสำคัญต่อความพึงพอใจโดยรวมถึงประมาณ 20 เปอร์เซนต์
“จากการฟื้นตัวของตลาด มีรถยนต์รุ่นใหม่และเทคโนโลยีใหม่พากันเปิดตัว โดยเฉพาะรถยนต์ขนาดกลางระดับต้น และรถยนต์ขนาดเล็ก ส่งผลให้เกิดความตื่นตาตื่นใจแก่ผู้บริโภคเป็นอย่างมาก” โลอิค เปอ็อง ผู้จัดการอาวุโสของ เจ.ดี.พาวเวอร์ เอเชีย แปซิฟิค ประจำประเทศไทย กล่าว “อย่างไรก็ตาม รูปลักษณ์การออกแบบรถยนต์ และประเด็นปัญหาการใช้งานได้จริง ๆ ของรถยนต์ยังถือเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งต่อการตัดสินใจของผู้ซื้อรถใหม่ในประเทศไทย ตัวอย่างเช่น ความมีประสิทธิภาพ ทัศนวิสัยในการขับขี่และความใช้ง่ายใช้สะดวกของอุปกรณ์ภายในรถยนต์ ซึ่งคุณลักษณะเหล่านี้มีผลโดยตรงต่อประสบการณ์การขับขี่”
ผลการศึกษารุ่นรถในแต่ละส่วนตลาดรถยนต์
ในกลุ่มรถยนต์ขนาดกลางระดับต้น นิสสัน ทีด้า (892) ครองอันดับสูงสุด ตามมาด้วย ฮอนด้า ซิตี้ (881 คะแนน) และ เชฟโรเล็ต อาวีโอ (870 คะแนน)
ในกลุ่มรถยนต์ขนาดกลาง ฮอนด้า ซีวิค และมาสด้า 3 ต่างครองตำแหน่งสูงสุด ด้วยคะแนนเสมอกัน (ค่ายละ 888 คะแนน) และ เชฟโรเล็ต ออฟตร้า (865 คะแนน) ตามมาเป็นอันดับสาม
ในกลุ่มรถยนต์ขนาดกลางระดับพรีเมียม โตโยต้าแคมรี่ ไฮบริด ซึ่งเป็นรถยนต์ไฮบริดรุ่นแรกที่ผลิตและออกจำหน่ายในประเทศไทย ครองอันดับสูงสุดด้วยคะแนน 905 ตามติดมาด้วย ฮอนด้า แอคคอร์ด (904 คะแนน) และนิสสัน เทียน่า (903 คะแนน)
ในกลุ่มรถยนต์อนกประสงค์กึ่งสปอร์ต อีซูซุ มิว-7 (918 คะแนน) ครองอันดับที่หนึ่งติดต่อกันเป็นปีที่สอง และเชฟโรเล็ต แค็บติวา (908 คะแนน) ครองอันดับสอง ขณะที่ฮอนด้า ซีอาร์-วี (892 คะแนน) ครองอันดับสาม
ในส่วนของรถกระบะมีแค็บ อีซูซุ ดี-แม็กซ์ ไฮแลนเดอร์ (910 คะแนน) ครองตำแหน่งสูงสุด ตามติดมาด้วยโตโยต้า ไฮลักซ์ วีโก้ พรีรันเนอร์ สมาร์ทแค็บ (909 คะแนน) และนิสสัน ฟรอนเทียร์ นาวารา (896 คะแนน) ครองอันดับสาม
ในส่วนของรถปิคอัพ 4 ประตู มิตซูบิชิ ไทรตัน พลัส (907 คะแนน) ครองอันดับสูงสุด ตามมาด้วยคะแนนเสมอกันระหว่าง อีซูซุ ดี-แม็กซ์ ไฮแลนเดอร์ และโตโยต้า ไฮลักซ์ วีโก้ (ค่ายละ 898 คะแนน)
ผลการศึกษาเพิ่มเติมสำหรับตลาดรถยนต์
จากการศึกษายังพบอีกว่า 60 เปอร์เซนต์ของเจ้าของรถยนต์ซึ่งกล่าวว่า “พอใจ” หรือ “พอใจมาก” กับรูปลักษณ์ของรถยนต์ (โดยการให้คะแนน 8 คะแนนหรือมากกว่า จากช่วงคะแนน 1 ถึง 10 คะแนน) บอกว่าพวกเขาจะแนะนำรถรุ่นที่เขาซื้อ “อย่างแน่นอน” เมื่อเปรียบเทียบกับ เจ้าของรถยนต์ที่ตอบว่า “ผิดหวัง” หรือ “เฉยๆ” มีเพียง 38 เปอร์เซนต์เท่านั้นที่ให้คำตอบแบบเดียวกัน
“รูปลักษณ์ดีไซน์ใหม่ และสมรรถนะของรถยนต์ เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ยี่ห้อของรถยนต์เป็นที่สนใจและรู้จัก เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่ลูกค้าที่มีความพึงพอใจในรถยนต์จะร่วมแบ่งปันประสบการณ์ดี ๆ ที่มีต่อรถยนต์ยี่ห้อนั้น ๆ ให้แก่ครอบครัวและเพื่อนฝูง” เปอ็องกล่าว ดังนั้น การศึกษาปัจจัยความต้องการของลูกค้าจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ผลิตรถยนต์ในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ที่นับวันการแข่งขันจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น”
การศึกษาวิจัย APEAL ในประเทศไทยประจำปี 2553 จัดทำขึ้นโดยประเมินผลจากเจ้าของรถยนต์ใหม่จำนวน 3,756 ราย ที่ซื้อรถยนต์ใหม่ระหว่างเดือน ตุลาคม 2552 ถึงเดือนมิถุนายน 2553 โดยทำการศึกษาจากผู้ซื้อรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถกระบะ และรถยนต์อเนกประสงค์ จำนวนทั้งสิ้น 61 รุ่น จากรถยนต์ 12 ยี่ห้อ การศึกษานี้ได้เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนเมษายน ถึงเดือนสิงหาคม 2553